Saturday, October 21, 2017

[บทสรุป] Sora no Kiseki SC - Epilogue chapter รอยทางแห่งฟากฟ้า - Part 4

บทส่งท้าย รอยทางแห่งฟากฟ้า
終章 空の軌跡
- Part 4 -


Walkthrough Chart - Main Quest

นครลอยฟ้า [เขตรากฐาน]
『浮遊都市 《根源区画》』 BP+0
เขตรากฐาน [เธเมเลียส] 『根源区画《テメリオス》』
- เตรียมตัวที่จุดเพิ่มเลือดให้พร้อม เพราะจากนี้ไปจะเข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ
(อย่าลืมใส่ Rare item "เข็มขัดวิญญาณสงคราม" (CP เพิ่มขึ้นทีละน้อยในฉากต่อสู้แบบอัตโนมัติ) อีกเส้น ที่เพิ่งได้มาจากการต่อสู้กับเรเวด้วยนะคะ รวมทั้งแนะนำ ให้สู้กับศัตรูจิ๊ดจิ๋วกระจ้อยร้อยที่อยู่ในนี้ เพื่อสะสม CP ให้ MAX จะเวิร์คสุด ๆ ค่ะ)
- "ยินดีต้อนรับ...... สู่สถานที่อันเป็นต้นกำเนิดแห่งพิธีสัตย์สาบานตนอันสูงส่ง" "ศจ. ไวส์แมน" กล่าวต้อนรับทันทีที่พวกเราเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของ [เขตรากฐาน]
- "โยชัวร์......" เอสเทลร้องเรียกโยชัวร์ซึ่งยืนคุ้มกันอยู่ข้างกายไวส์แมนอย่างเงียบงัน ราวกับตุ๊กตาที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ รู้สึกว่าจะทะลวงผ่านอุปสรรคจนมาถึงการทดลองขั้นสุดท้ายแล้วสินะ อย่างนี้สิ ถึงจะพูดได้ว่ามีสิทธิ์ที่จะเผชิญหน้ากับการฟื้นคืนชีพของ [วงแหวน] 『環』 จริง ๆ"
เอสเทล "ชั้นไม่สนใจของพรรค์นั้นหรอกย่ะ! สิ่งที่พวกชั้นต้องการ คือทำให้เหตุการณ์ผิดปกติในคราวนี้จบลง! รวมทั้ง...... ปลดปล่อยโยชัวร์ให้เป็นอิสระจากนายต่างหากล่ะ!"
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ...... น่าเสียดาย ที่เรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่ะ"
เอสเทล "!!!"
ศจ. ไวส์แมน "ถึงพวกเธอจะกลบเกลื่อนยังไง แต่เรื่องที่หัวใจของโยชัวร์เป็นของที่ทำขึ้นมา คือความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ [ตราบาป] 『聖痕』 ที่ไหล่อันนี้ก็คือหลักฐานที่ว่ามานั้น...... เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่ [งูกินหาง] 『身喰らう蛇』 ------ สิ่งที่ฉันเป็นเจ้าของ"
เอสเทล "......นายนี่มัน..............."
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ หรือถ้าให้โยชัวร์ลบ [ตราบาป] ทิ้งไปด้วยจิตมุ่งมั่นของตัวเอง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง...... แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน ณ เวลานี้ ฉันขอรับตัวเขาเอาไว้เป็นวัตถุดิบ สำหรับการวิจัยของฉันต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน"
เอสเทล "............................................."
- เพื่อน ๆ ของเราก็ได้แต่ก่นด่า แต่ไวส์แมนกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังพูดเหน็บพวกเราต่อหน้าตาเฉยอีกด้วยค่ะ
(จากตรงนี้ ไวส์แมนบอกว่า โยชัวร์ต้องเข้าใจอยู่แล้วว่า การที่ [ตราบาป] ปรากฏขึ้นมามีความหมายว่ายังไง และก็คงจะกังวลใจอยู่คนเดียวแน่ ๆ แต่กลับไม่มีใครในหมู่พวกเรา ที่สะกิดใจถึงความทุกข์ระทมของโยชัวร์แม้แต่นิดค่ะ และไวส์แมนก็ยังพูดเหน็บให้เราเจ็บใจเล่น ๆ ว่า "คึคึ...... [สายสัมพันธ์] อะไรนั่นของพวกเรา คงไม่ได้มีอยู่แค่นี้หรอกนะ?" ทำเอาพวกเราพูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ)
ศจ. ไวส์แมน "เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องไปมองอะไรในแง่ร้ายแบบนั้นหรอก เพราะสามารถมาถึงที่นี่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้ จึงทำให้พวกเธอมีสิทธิ์ ที่เหลือก็แค่เลือกให้ถูกต้องเท่านั้น"
เอสเทล "......สิทธิ์...... เลือก...... ที่ว่ามา...... หมายถึงเรื่องอะไรกันน่ะ?"
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ แล้วพวกเธอรู้ไปถึงระดับไหนแล้วล่ะ?"
- ไวส์แมนนำสายตา ไปสู่วงแหวนขนาดใหญ่โตมโหฬาร ที่ส่องประกายสีทองเรืองรองงดงามตระการตาราวกับอัญมณีอันสูงค่า ซึ่งสิ่งนี้ก็คือ [วงแหวนประกายแสง] ตามที่เราคาดจริง ๆ ค่ะ
- เมื่อไวส์แมนรู้ว่า พวกเราพอจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ มาจาก [ดาต้าคริสตัล] ที่หลงเหลือเอาไว้ในหอคอยเบื้องหลังที่เราใช้ [คาเปล] ช่วยแกะข้อความออกมาอยู่บ้าง (เกี่ยวกับเรื่องเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของสังคมและผู้คนให้เป็นไปในทางที่ไม่ดีค่ะ) เขาก็เริ่มเล่ารายละเอียดลึก ๆ เกี่ยวกับ [วงแหวนประกายแสง] ให้พวกเราฟังค่ะ
ศจ. ไวส์แมน "------หลายพันปีก่อน เทพธิดาได้ประทาน [สมบัติทั้งเจ็ด] 『七の至宝』 ให้แก่มนุษย์ ซึ่งสมบัติเหล่านั้น คืออาร์ติแฟกซ์ที่จะทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น โดยใช้ [ความเป็นไปได้ของโลก] ด้วยวิธีการที่ต่างกันออกไป แล้วมนุษย์ยุคโบราณที่ได้แบ่งสมบัติออกเป็นเจ็ดสาย ก็ได้ไขว่คว้าหา [อุดมคติ] ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามสมบัติแต่ละชิ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ [วงแหวนประกายแสง] ที่ถูกสร้างขึ้น ณ ใจกลางของ [ลีเบล=อาร์ค] นครที่ใช้ทดลองแห่งนี้ สรวงสวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่ปรารถนาทั้งมวล ล้วนกลายเป็นจริงด้วย [วงแหวน] ผ่านทาง [กอสเปล] 『ゴスペル』 คอมพิวเตอร์ปลายทางเอนกประสงค์...... เพราะอย่างนั้นมนุษย์ ก็น่าจะเพลิดเพลินไปกับการดำรงชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุข ที่ไม่มีแม้แต่การต่อสู้แย่งชิงกันได้อยู่แล้ว แต่มนุษย์ กลับค่อย ๆ ถูกความสุขจอมปลอมที่ [วงแหวนประกายแสง] นำมา กลืนกินจิตวิญญาณผ่านทาง [กอสเปล] ทีละน้อย ไม่เพียงแค่ความรื่นรมย์ทางด้านวัตถุ แม้แต่การสนองต่อความต้องการทางด้านจิตใจ ก็ได้เห็นความฝัน------- ได้เห็นภาพจำลองที่ [วงแหวน] สร้างขึ้น ......แล้วมนุษย์ ก็เริ่มก้าวเดินไปสู้เส้นทางที่เสื่อมสลาย เพราะพึ่งพาปาฏิหาริย์ที่เปรียบได้ดั่งยาเสพย์ติด เหล่าชาวเมืองที่สูญเสียศีลธรรมจรรยากับใจที่ฮึกเหิมทะเยอทะยาน ขาดความพอดีทางด้านจิตใจไป...... อัตราการเกิดมีแต่จะลดลง อัตราการฆ่าตัวตายและอาชญากรรมที่วิปริตเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ สังคมทั้งหมดเริ่มมุ่งไปสู่ความตายอย่างช้า ๆ แต่ [วงแหวน] ก็ยังคงให้กำเนิดปาฏิหาริย์ตามคำเรียกร้องไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และแล้วสรวงสวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นบนฟากฟ้า ก็กลายเป็นโรงบ่มเพาะอันเลวทรามต่ำช้าและไร้แก่นสาร ---------เหตุผลที่เหล่าบรรพบุรุษของราชวงศ์ลีเบร์ลวางแผนการปิดผนึก [วงแหวน] มีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างที่ว่ามา แล้วก็ถูก [ผู้พิทักษ์] 『守護者』 ที่ [วงแหวน] ได้ปลดปล่อยออกมาเพื่อขัดขวางการก่อสร้างเขตที่ถูกผนึก และดีไวซ์ทาวเวอร์ให้เป็นไปอย่างยากลำบาก...... และท้ายที่สุด [วงแหวน] ก็ถูกผนึกในมิติประหลาด ไปพร้อม ๆ กับนครลอยฟ้า"
- พวกเราต่างตกใจไปตาม ๆ กัน กับเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นเมื่อ 1200 ปีก่อน
ศจ. ไวส์แมน "อาจกล่าวได้ว่า เหล่าบรรพบุรุษของราชวงศ์ทำได้ดีแล้วก็คงไม่ผิด ------แต่ลองคิดดูดี ๆ สิ มนุษย์ถูกโยนลงสู่แผ่นดินแห่งความสับสน แล้วเริ่มจากหนึ่งใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นค่าชดเชยสำหรับเรื่องนั้น และในตอนนี้ ก็กำลังวนเวียนอยู่กับอำนาจที่ได้มา แล้วต่อสู้แย่งชิงโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า...... เรื่องนั้น คือการเลือกที่ถูกต้องแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?"
เอสเทล ".........เรื่องนั้น..............."
ศจ. ไวส์แมน "และอีกด้านหนึ่ง มนุษย์ก็ได้วิทยาการซึ่งเรียกว่าออร์บเมนท์มาไว้ในกำมือ แล้วก็เริ่มเพลิดเพลินไปกับการดำรงชีวิตอันสมบูรณ์พูนสุขอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้ บั้นปลายมีความเป็นไปได้อยู่แค่ 2 ทางเท่านั้น ---------แสวงหาความรื่นรมย์โดยไม่มีเบื่อหน่าย โดยสิ่งที่ตัวเองได้กำหนดและตัดสินไม่มีทางกลายเป็นความจริง แล้วพินาศย่อยยับไปพร้อม ๆ กับโลกใบนี้...... หรือไม่ก็มีชีวิตอยู่ต่อไปราวกับสัตว์เดียรัจฉาน ที่พร้อมจะอุทิศตนให้กับการควบคุมดูแลระบบทั้งมวล เช่นเดียวกับมนุษย์ยุคโบราณ...... จะเสื่อมสลายทางด้านวัตถุ หรือจะเสื่อมสลายทางด้านจิตใจ ไม่ว่าจะข้อไหน ๆ ก็เป็นบั้นปลายที่เป็นไปได้เท่าที่มีอยู่ยังไงล่ะ"
- เอสเทลได้แต่นิ่งเงียบไม่อาจเถียงอะไรได้
ศจ. ไวส์แมน "เพื่อป้องกันเรื่องเหล่านั้น ไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากเส้นทางที่มนุษย์จะต้องวิวัฒนาการไปด้วยตัวของตนเองเท่านั้น ------เป็นความมีเหตุผลอันแน่นอนที่ไม่มีทางสั่นคลอน ไม่ว่าจะเป็นการเย้ายวนหรืออุปสรรคความยากลำบากแบบไหน! เป็นภูมิปัญญาอันสูงส่งที่ไม่ยึดติดกับอารมณ์หรือความรู้สึก และทำให้ค้นพบคำตอบที่ถูกต้อง! ขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งมีครบทั้งคู่นั้น คือสิ่งที่จะชี้นำเผ่าพันธุ์ซึ่งเรียกว่ามนุษย์...... นั่นต่างหากล่ะที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของ [แผนการพระสุรเสียง] 『福音計画』 ที่แท้จริง!"
- ไวส์แมนยังพูดต่อโดยไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อน ๆ เราที่เห็นว่าเรื่องนี้มันออกจะฟังดูลม ๆ แล้ง ๆ ยังไงไม่รู้ แต่ไวส์แมนยังคงมั่นใจว่า เขาจะสามารถนำสมบัติอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ ชี้นำมวลมนุษย์ให้วิวัฒนาการไปในทางที่ถูกต้อง ตามคำสั่งที่เขารับมาจาก [นายเหนือหัว] ได้ค่ะ
- "เฮ้อ...... พูดตรง ๆ เลยนะ ว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนายเลยนี่นา" เอสเทลแสดงความเห็นแบบเซ็งสุดขีด สร้างความประหลาดใจให้แก่ไวส์แมนเป็นอย่างมาก
เอสเทล "------เป็นความมีเหตุผลอันแน่นอนที่ไม่มีทางสั่นคลอน ไม่ว่าจะเป็นการเย้ายวนหรืออุปสรรคความยากลำบากแบบไหนงั้นเหรอ? เป็นภูมิปัญญาอันสูงส่งที่ไม่ยึดติดกับอารมณ์หรือความรู้สึก และทำให้ค้นพบคำตอบที่ถูกต้องงั้นเหรอ? ของพรรค์นั้น มีค่าแค่ไหนกันเชียว?"
ศจ. ไวส์แมน "......รู้สึกว่าเธอจะไม่ได้ฟังเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์สินะ มนุษย์ที่วิวัฒนาการเพื่อเอาแต่หลบหนีไปจากความเสื่อมสลายทางด้านวัตถุ หรือไม่ก็ทางด้านจิตใจ......"
- "ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพรรค์นั้นสักหน่อยนี่" เอสเทลแสดงสีหน้ามั่นใจ พลางพูดต่อว่า
เอสเทล "ที่ชั้นอยากจะพูดก็คือ...... ก่อนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น มันก็ต้องมีสิ่งที่สามารถทำได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไงต่างหากล่ะ"
ศจ. ไวส์แมน "..........................................."
เอสเทล "โยชัวร์เองก็เคยพูดเหมือนกัน...... ว่าพวกเราไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างไร้พละกำลัง อย่างความผิดปกติในครั้งนี้ ตอนแรกทุกคนก็รู้สึกลังเลใจ จากนั้นก็ร่วมมือกัน แล้วค่อย ๆ ก้าวต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ---------หลังจากที่ชั้นได้เดินทางไปรอบ ๆ ราชอาณาจักร...... ก็ได้เห็นเรื่องนั้นมากับตาคู่นี้จนแน่ใจแล้ว ว่าไม่ต้องมีวิวัฒนาการอะไรนั่น ก็สามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้อยู่แล้วนี่?"
ศจ. ไวส์แมน "......รวมกันเป็นฝูงแล้วมีชีวิตอยู่รอด แม้แต่พวกสัตว์หรือพวกแมลงมันก็ทำกัน เธอคิดที่จะใช้การกระทำระดับนั้น มาบรรยายความเป็นไปได้ของมนุษย์หรือเนี่ย?"
เอสเทล "จะว่าเหมือนก็ได้ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะมันช่วยทำให้แน่ใจว่า พวกชั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิต แล้วที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็คือความเข้มแข็งไม่ใช่เหรอ?"
ศจ. ไวส์แมน "ว่าไงนะ......"
เอสเทล "แน่นอนว่ามนุษย์...... ไม่ได้มีตัวตนอยู่เพียงแค่นั้น ยังตั้งใจที่จะใช้แรงผลักดัน ทำให้ประกายแสงแห่งชีวิตอยู่รอดต่อไปในแบบของตัวเอง...... ชั้นคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ ---------แต่เรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่างตามที่นายพูด...... แค่ทุก ๆ คน มีน้ำใจนิด ๆ หน่อย ๆ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็เพียงพอแล้วล่ะ"
ศจ. ไวส์แมน "................................................."
เอสเทล "พวกคนที่ปิดผนึก [วงแหวน]...... ก็คงจะคิดแบบเดียวล่ะมั้ง? แล้วคงจะคิดว่า เอาแต่พึ่งพาปาฏิหาริย์อย่างเดียวก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ได้...... ยิ่งกว่านั้น ถ้าช่องทางที่จะให้คนเราคอยช่วยเหลือกันหายไป ก็เป็นเรื่องไม่ดีสุด ๆ เลยด้วย......"
- "คึคึ...... นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็การช่วยเหลือกันนี่เอง...... เรื่องพรรค์นั้น ค่อยมาพูดหลังจากย้อนกลับไปดูอดีตซะเถอะ อย่างระบบขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่าสงคราม ซึ่งถูกทำให้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...... สายสัมพันธ์ของมนุษย์ มีอยู่อย่างไร้พละกำลังมาในกะลาแคบ ๆ แบบนั้นใช่มั้ยล่ะ?" ไวส์แมนแสยะยิ้มพลางชี้ให้เอสเทลย้อนคิดไปถึงความอ่อนแอของมนุษย์ในมุมมองของคนฉลาดล้ำ (แบบแกมโกง) อย่างเขา
เอสเทล "------ไม่ใช่อย่างนั้น! คุณแม่ใช้ชีวิตปกป้องชั้นจากไฟสงคราม! ด้วยเรื่องนั้น จึงทำให้ชั้นตัดสินใจมุ่งสู่เส้นทางของเบรเซอร์ แล้วตอนนี้...... ก็มายืนอยู่ที่นี่! เพื่อหยุดยั้งเหตุการณ์ผิดปกติ เพื่อป้องกันไฟสงครามก่อนที่มันจะเกิดขึ้น! ถึงขนาดนี้แล้ว...... ยังจะพูดได้อีกเหรอว่า มนุษย์ไร้พละกำลังน่ะห๊า!?"
ศจ. ไวส์แมน "ฮึ่ม...... ......เถียงคำไม่ตกฟาก......"
เอสเทล "ถ้าคุณปักใจเชื่อว่ามนุษย์ไร้พละกำลังจริง ๆ ล่ะก็...... ถ้าคิดเองเออเองว่าจำเป็นต้องมีการวิวัฒนาการล่ะก็...... ถ้าเป็นอย่างนั้น ชั้นว่าคุณเป็นคนที่น่าสงสารมาก ๆ เลย"
ศจ. ไวส์แมน "!!"
เอสเทล "ก็ไม่รู้จักความยินดีที่จะเชื่อใจใคร ไม่รู้จักความยินดีที่จะช่วยเหลือใคร แล้วก็แสดงความยินดีออกมาไม่ได้ นอกจากต้องทำให้พวกชั้น...... ทำให้ผู้คนดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างนี้...... เหงาเปล่าเปลี่ยว...... ถึงขนาดนั้นน่ะ"
ศจ. ไวส์แมน ".........................................."
เอสเทล "แต่เพราะชั้นเป็นเบรเซอร์...... จึงทำเป็นมองข้ามเรื่องที่คุณทำให้ทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุจำเป็นของตัวคุณเองไม่ได้ ---------ขอโทษนะ...... ถึงจะต้องใช้กำลัง ชั้นก็จะขอหยุดยั้งคุณล่ะ"
- พวกเราชักอาวุธเตรียมพร้อมบุกทุกเมื่อ แต่ไวส์แมนยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่แฝงได้ด้วยความไม่พอใจของเขาจับจ้องไปยังเอสเทล "คึคึ...... สาวน้อยผู้โง่เขลาเบาปัญญาเอาแต่พูดมากน่ารำคาญ......" เขาพูดขึ้นพลางแสยะยิ้ม
ศจ. ไวส์แมน "ถ้าอย่างนั้น ใช้ร่างกายนั่น พิสูจน์คำพูดของข้าคนนี้ให้ดูหน่อยสิ"
- ทันทีที่ไวส์แมนดีดนิ้ว ดวงตาสีเพลิงราวกับดวงตาของปิศาจเบิกโพลงขึ้น (เนตรมาร) ตรึงร่างของเหล่าพวกพ้องเอาไว้ เหลือเพียงแต่เอสเทลที่ยังขยับตัวได้
- "หึหึ พวกเธอ ยืนดูอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ ซะ มันคงจะเป็นละครที่สนุกสนานมากแน่ ๆ ......โยชัวร์ ออกไปเล่นสักหน่อยสิ" ไวส์แมนออกคำสั่งอย่างเลือดเย็น โดยที่เอสเทลได้แต่เรียกชื่อของโยชัวร์ ที่กำลังหันดาบเตรียมพร้อมบุกโจมตีใส่เธอ
ศจ. ไวส์แมน "คึคึ เอสเทลคุง แสดงให้ฉันดูให้ชัด ๆ ทีสิ ว่าสิ่งมีชีวิตซึ่งเรียกว่ามนุษย์ จะแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งเช่นไรเมื่อตกอยู่ในความสิ้นหวังน่ะ"
เอสเทล "คึ......!"
- โยชัวร์ใช้ท่าลับ คมดาบมายาของเขาเข้าโจมตี เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้เอสเทลทรุดลงไปในทันที
โยชัวร์ "................................................"
เอสเทล "......คึ...... โยชัวร์......"
ศจ. ไวส์แมน "โฮ่...... เป็นท่าที่ยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือนจะคุ้มค่าที่เอาไปฝากให้ [ปราชญ์ดาบ] 『剣聖』 ดูแลมานะ เพียงเท่านี้ ก็หมายความว่าระดับความสำเร็จของผลงานที่ฉันทำเพิ่มขึ้นอีกแล้ว"
- "นะ นาย......!" เอสเทลค่อย ๆ ฝืนตัวลุกยืนขึ้น
ศจ. ไวส์แมน "เอ้า...... การแสดงเพื่อความสนุกสนานที่แท้จริง มันต่อจากนี้ต่างหากล่ะ โยชัวร์ ทำให้หล่อนไร้พละกำลังซะ"
เอสเทล "!!"
- โยชัวร์กระโจนเข้าจู่โจมเอสเทลจนล้มทั้งยืน เขากดร่างของเธอเอาไว้ พลางจ่อดาบคู่ไปที่คอของเอสเทล
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ รู้สึกว่าเธอ จะไม่สามารถพิสูจน์ความเข้มแข็งของมนุษย์ได้นะ ถึงฉันจะเป็นแค่นักวิชาการปลายแถว แต่ก็ตั้งใจเอาไว้ว่า จะต้องเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะพิสูจน์ว่าการทดลองเป็นจริง เพราะฉะนั้นฉันจะให้โยชัวร์...... เป็นคนพิสูจน์แทนเธอก็แล้วกัน"
เอสเทล "............เอ๊ะ........................"
ศจ. ไวส์แมน "แค่การทดลองง่าย ๆ บางอย่าง......ฉันจะให้โยชัวร์ดับลมหายใจของเธอไปทั้ง ๆ แบบนี้ หลังจากที่เห็นสมควรดีแล้ว ก็จะให้สัญญาณ ทำให้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิมยังไงล่ะ"
เอสเทล "!!!"
ศจ. ไวส์แมน "หึหึ...... โยชัวร์จะแสดงสีหน้าแบบไหน? ไม่รู้ว่าจะกลัวจนตัวสั่นหรือเปล่านะ?"
เอสเทล "มะ ไม่ตลกเลยนะยะ!"
- "ถ้าทำอย่างนั้นลงไปล่ะก็ โยชัวร์...... โยชัวร์จะ......" เอสเทลน้ำตาปริ่ม
ศจ. ไวส์แมน "ฮะฮะ อาจจะเป็นคราวนี้ต่างหากล่ะมั้ง ที่หัวใจจะกระจัดกระจายแตกสลายเป็นผุยผงไปโดยสมบูรณ์น่ะ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมา แค่ฉันสร้างหัวใจดวงใหม่ให้อีกครั้งก็จบเรื่องแล้ว และก็ว่าจะให้โอกาสกลับไปเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเดิมอีกครั้ง หึหึ...... เป็นความสนุกสนานต่อจากนี้ไปยังไงล่ะ"
เอสเทล "อย่านะ...... ......ทำแบบนั้น...... มันโหดร้ายเกินไป......"
ศจ. ไวส์แมน "คึคึคึ...... ถ้าอย่างนั้นโยชัวร์...... กระซวกให้มันจบ ๆ ไปซะสิ"
โยชัวร์ "..................................................."
- โยชัวร์ชูดาบขึ้น เอสเทลได้แต่หลับตารอรับความตายจากคมดาบของเขาโดยไม่มีขัดขืน
เอสเทล "......โย...... ชัวร์...... ขอโทษด้วยนะ...... ทั้ง ๆ ที่บอกว่าจะไม่ตายเด็ดขาด...... ขอโทษด้วยนะ...... ......ทั้ง ๆ ที่สัญญากันเอาไว้ว่าจะเดินไปด้วยกัน......"
- เหล่าพวกพ้องได้แต่ยืนดู โดยที่ทำได้แค่เพียงร้องขอให้โยชัวร์หยุดดาบ
(ในกรณีที่นำ "หลวงพ่อเควิน" ร่วมกลุ่มต่อสู้มาด้วย จะมีเขาคนเดียว ที่ไม่ร้องเรียกให้โยชัวร์หยุดดาบค่ะ ถ้าสงสัยว่าทำไมล่ะก็ อ่านต่อได้เลยค่า)
เอสเทล "แต่ว่า...... ชั้น...... เชื่อนะ...... ว่าโยชัวร์...... จะไม่แพ้เด็ดขาด...... ถึงชั้นจะไม่อยู่แล้ว...... ......ก็จะไม่หนีไปจากความเป็นจริง......"
โยชัวร์ "......ขอโทษที ที่ผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนิดหน่อย"
- ฉับพลันนั้น โยชัวร์เร้นกายเข้าโจมตีไวส์แมนอย่างรวดเร็ว ถึงไวส์แมนกำลังงุนงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็สามารถป้องกันและถอยไปตั้งหลักได้อย่างทันท่วงที
- ในจังหวะนั้น เหล่าเพื่อนพ้องก็สามารถขยับตัวได้เป็นปกติ แล้ววิ่งเข้าไปสมทบกับเอสเทลที่ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น มองดูแผ่นหลังของโยชัวร์ที่กำลังปกป้องเธอ
เอสเทล "......โย...... ชัวร์......?"
โยชัวร์ "......ขอโทษด้วยนะเอสเทล ดูเหมือนว่าผมจะทำให้เธอเป็นทุกข์ทีเดียวนะ"
- โยชัวร์ยิ้มเล็ก ๆ พร้อมกับขอโทษที่ทำให้เอสเทลเป็นห่วง
ศจ. ไวส์แมน "บะ บ้าน่า...... ไม่น่าจะดึงเอาจิตมุ่งมั่นกลับมาได้จากสภาพแบบนั้น...... ! เดี๋ยว......! แก...... [ตราบาป] ที่ไหล่หายไปไหนแล้ว!?"
- ไวส์แมนเพิ่งสังเกตเห็นว่า รอยสักสีแดงสัญลักษณ์ขององค์กร หรือก็คือ [ตราบาป] ที่ไหล่ของโยชัวร์หายไป
โยชัวร์ "................................................ ......[ตราบาป] ที่คุณสลักลงไปในจิตใต้สำนึกของผม ไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเพิ่งจะกลายเป็นผุยผงไปเมื่อกี๊นี้เองน่ะสิ"
ศจ. ไวส์แมน "วะ ว่าไงนะ!?"
โยชัวร์ "ผมรับเอาลิ่มที่เป็นสัญญาณที่คุณตอกลงมาในจุดที่มี [ตราบาป] อยู่ แล้วในช่วงที่มันโหลดเข้ามา ผมก็ให้สัญญาณตัวเองในลักษณะที่ว่า [ตราบาป] จะสลายไปซ้ำไปซ้ำมาเรื่อย ๆ"
ศจ. ไวส์แมน "!!!"
เอสเทล "ละ ลิ่มที่เป็นสัญญาณ......"
โยชัวร์ "------ดูเหมือนว่าผม ไม่อยากจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเธอไปทั้ง ๆ แบบนี้น่ะสิ ก็เลยไปขอร้องคุณเควินทันทีที่เครื่องลงจอดฉุกเฉินบนนคร"
เอสเทล "หะ ให้คุณเควินช่วย......!?"
◆ในกรณีที่มี "หลวงพ่อเควิน" ร่วมกลุ่มมาด้วย จะมีบทสนทนาพิเศษที่แตกต่างออกไปค่ะ ซึ่งบทสนทนาต่อไปนี้เป็นกรณีที่นำเควินร่วมกลุ่มนะคะ
หลวงพ่อเควิน "เฮ้อ~ ตอนที่มาปรึกษาก็คิดอยู่ว่าจะทำไงดี บอกตามตรง เมื่อเอาจุดนั้นออกไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลับมาสู่สภาพเดิมไม่ได้น่ะ ---------แต่โยชัวร์คุง...... ก็ชนะการเดิมพันได้อย่างยอดเยี่ยม"
โยชัวร์ "ครับ...... ต้องขอบคุณคุณเควินจริง ๆ"
เอสเทล "อะ อ๊ะฮะฮะ...... อย่างนี้นี่เอง......"
ศจ. ไวส์แมน "เควิน แกรแฮม...... เคยดูแคลนไป เพราะเห็นว่าเป็นแค่คนเข้าใหม่ของหน่วยอัศวิน แต่นึกไม่ถึงว่าจะแสร้งทำตัวได้อย่างโอหังนัก......"
หลวงพ่อเควิน "นี่ก็คงเป็นการชี้นำของเทพธิดา อาจจะเป็นส่วนที่เลวร้าย สำหรับนายที่ออกจากโบสถ์ไปแล้วก็ได้มั้งนะ ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นก็แค่ช่วยเหลือจนถึงที่สุดเอง เพราะคนชี้แนะเป็นคนอื่นน่ะ"
ศจ. ไวส์แมน "วะ ว่าไงนะ...... ! หรือว่า...... คาซิอุส ไบรท์เป็นคนบอกงั้นเรอะ!"
- "อ๊ะ......" เอสเทลนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่จะขึ้นมาบนนครลอยฟ้าแห่งนี้ ตอนที่ป๋าคาซิอุสฝากจดหมายฉบับหนึ่งให้กับโยชัวร์
เอสเทล "งี้นี่เอง...... จดหมายในตอนนั้น......"
โยชัวร์ "อืม...... ในจดหมายเขียนไว้ว่า [กุญแจที่จะคลายคำสาปของลูก หลวงพ่อเควินคงจะเป็นคนเก็บเอาไว้ แต่จะใช้กุญแจดอกนั้นได้หรือไม่อย่างไร ก็เป็นปัญหาของตัวลูกเอง มองการกระทำของไอ้เจ้าไวส์แมนให้ออก แล้วเอาชนะตัวเองให้พ่อดูสิ] อย่างนี้น่ะ"
- พวกเราต่างก็ชื่นชมไปกับการมองการณ์ไกล และการอ่านเรื่องราวได้อย่างทะลุปรุโปร่งของป๋าสุดเทพค่ะ (เก่งแบบนี้ทำไมไม่เป็นพระเอกไปเลยล่ะเนี่ย แต่พระเอกอายุเหยียบ 50 มีค่ายไหนเขาทำกันบ้างนะ 555)
โยชัวร์ "บอกตามตรง...... ก็กังวลใจทีเดียว ว่าคุณที่ควบคุมผมได้อีกเป็นครั้งที่ 2 คิดจะให้ผมทำอะไรกันแน่ แล้วผมก็ลอง...... เดิมพันลงไปทั้งหมดที่จุดนั้นจุดเดียว เดิมพันกับความเป็นไปได้ที่คุณ จะให้ผมลงมือทำเรื่องที่ตัวผมหวาดกลัวที่สุด แล้วคุณก็ออกคำสั่งไปตามนั้น...... ผลก็คือ [ตราบาป] กระจัดกระจายแตกสลายไป ----------ผม...... เป็นอิสระจากคุณโดยสมบูรณ์แล้ว"
เอสเทล "โยชัวร์......"
ศจ. ไวส์แมน "......โง่เง่า...... ถ้าเชื่อฟังฉันต่อไป ก็จะปืนขึ้นขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้...... พอไปถึงระดับใหม่ ก็จะให้วิวัฒนาการแท้ ๆ...... "
โยชัวร์ "ผมก็เหมือนกับเอสเทล...... ที่ไม่สนใจของพรรค์นั้นหรอก นอกจากนั้นสิ่งที่เรียกว่าเส้นทาง...... ไม่ใช่สิ่งที่จะรับมาจากคนอื่นได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน หาให้พบ แล้วออกไปจากความมืดมิดด้วยตัวของตัวเองต่างหาก"
ศจ. ไวส์แมน "ฮะฮะ...... ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจอยู่แล้ว! แต่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คือประวัติศาสตร์ที่มืดมิด! หากไม่ได้แสงสว่างอันยิ่งใหญ่ชี้นำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไรก็ยังคงหลงทางต่อไปเรื่อย ๆ!"
โยชัวร์ "ผิดแล้ว------! ถึงแม้จะอยู่ในความมืดมิด มนุษย์ก็จะพึ่งพากัน เป็นแสงสว่างที่ปลดปล่อยให้แก่กันและกัน และก็สามารถเดินเคียงข้างไปด้วยกันได้! ซึ่งนั่นคือ...... พลังของพวกผมที่ทำให้มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ยังไงล่ะ!"
เอสเทล "โยชัวร์......"
ศจ. ไวส์แมน "......คึคึ...... เป็นแค่ผู้ดำเนินแผนการ ผลงานที่ไม่สมบูรณ์ แต่ดันพูดมากน่ารำคาญซะจริง ---------ถ้าอย่างนั้น จงแสดงให้ดูสิ...... ว่าเจ้าแสงสว่างอะไรนั่นของพวกแก จะส่องประกายเจิดจ้าแม้อยู่ในความมืดมิดน่ะ......"
- ไวส์แมนกวัดแกว่งคฑา เรียกเหล่าสมุนของเขาออกมา
ศจ. ไวส์แมน "จงแสดงให้ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์แห่ง [นายเหนือหัว] ------ แสดงให้หนึ่งในเสาแห่ง [สาวกแห่งงู] 『蛇の使徒』 ผู้มีพลังของ [ไร้หน้า] 『白面』 ดูซะสิ!"
เอสเทล "......ก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้วย่ะ!"
โยชัวร์ "จะบุกด้วยพลังทั้งหมดที่มีเลยล่ะ!"
- ไวส์แมน + คราบยุทธวิธี *4 -
- 『ワイスマン + 戦術殻*4』 -
**แนะนำ ให้สวมเครื่องประดับป้องกัน "สับสน" และ "ผนึกทักษะ" เอาไว้ จะง่ายขึ้นค่ะ**
**พึงระวัง เราไม่สามารถทำให้ไวส์แมนติดสถานะผิดปกติได้ แนะนำ ให้ใช้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้ของฝ่ายเราแทนค่ะ**
**ไวส์แมนเชี่ยวชาญทางด้านเวทย์มนต์ สมกับที่โยชัวร์เรียกว่า "ผู้ใช้มนตรา" เขาสามารถใช้อาร์ทระดับสูงอย่าง "ลอสต์เมเบียส", "เดธ สครีม", "ออร์เบิล ดาวน์" หรือแม้แต่อาร์ทพิเศษอย่าง "ดาร์ค แมทเทอร์ รุ่นปรับปรุง" ที่โจมตีกินอาณาเขตกว้าง ทั้งยังสามารถทำให้เราติด MOV Down และดึงพวกเรามารวมกันได้เหมือนกับลอสต์เมเบียสค่ะ**
**ระวัง อาร์ท "เจเนซิก บาเรีย" ของเขาให้ดี เพราะถ้าไวส์แมนใช้ท่านี้ นอกจากจะฟื้นฟู HP ฝ่ายเขา 1000 หน่วยแล้ว ยังป้องกันการโจมตีจากอาร์ทของฝ่ายเราได้ทุกรูปแบบ ทั้งยังไม่มีวิธีแก้ ต้องปล่อยทิ้งเอาไว้สักพักถึงจะหายไปเองค่ะ**
**อย่างที่ทราบกัน ไวส์แมนเป็นคนฝึกฝนเทคนิคในการลอบสังหารให้โยชัวร์ เขาจึงมีคราฟท์ "แก่นแท้ เนตรมาร" ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคราฟท์ของโยชัวร์ เพราะสามารถทำให้เราติด "สับสน" + AT Delay ได้ค่ะ**
**เมื่อโดนคราฟท์ "ขับไล่ห้วงเวลา" เราจะเกิดอาการ Vanish ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แถมท่านี้ยังทำให้ EP ของเรากลายเป็นศูนย์ได้อีกด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า เราไม่สามารถป้องกันท่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ค่ะ**
**แนะนำ ให้ปราบคราบยุทธวิธีก่อน เพราะเจ้าตัวนี้สามารถโจมตีแล้วทำให้เราติด "ผนึกมาร" ได้ค่ะ**
**ป.ล. เสียงพากษ์ของไวส์แมน เซ็กซี่อย่างแรงค่าาาา**
ดูคราฟท์ต่าง ๆ ของ "ไวส์แมน" ได้ตรงนี้ค่ะ
- ปราบได้ ไวส์แมนจะรู้สึกประหลาดใจที่เราสามารถเอาชนะเขาได้ และเขาก็เริ่มวางแผนชั่วร้ายบางอย่าง โดยเทเลพอร์ตตัวเองไปยังแท่นที่อยู่ใต้ [วงแหวนประกายแสง] ค่ะ
ศจ. ไวส์แมน "ตั้งใจเอาไว้ว่าจะนำไปถวายให้แด่ [นายเหนือหัว] ทั้ง ๆ อย่างนี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว...... จงรู้สำนึกซะว่า คู่มือที่พวกแกกำลังแยกเขี้ยวใส่มีตัวตนเช่นไร"
- ร่างของไวส์แมนลอยสูงขึ้น ทันทีที่เขาไปถึงแกนกลาง [วงแหวนประกายแสง] ก็สำแดงฤทธิ์ ส่องแสงสีทองทอประกายวาววาบไปทั่ว
- และแล้วร่างของไวส์แมนที่รวมตัวเข้ากับ [วงแหวนประกายแสง] ก็ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราค่ะ
- "คึคึคึ...... ความรู้สึกที่สัมผัสได้นี่...... ไม่เลวยิ่งกว่าที่คิดไว้......" เสียงของไวส์แมนดังออกมาจากร่างของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ ที่กำลังปลดปล่อยพลังกดดันวิญญาณออกมาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล
เสียงไวส์แมน "เอาล่ะ...... ก่อนอื่นจะขอทดสอบอะไรหน่อยได้มั้ย...... อย่างพลังอันยิ่งใหญ่ของ [ทูตสวรรค์] ที่จะชี้นำมนุษย์ไปสู่ระดับใหม่ ๆ น่ะ......!"
- เกิดการต่อสู้ขึ้นกับ "แองเจลไวส์แมน" ทันที แต่เพราะมีบาเรียคอยคุ้มกันอยู่ พวกเราจึงไม่สามารถทำอะไรศัตรูได้แม้แต่นิดเดียว และเมื่อถึงเทิร์นของศัตรู เราจะโดน "หอกเทพอินันน่า" 『神槍イナンナ』 โจมตีจนหมดท่าไปเลยค่ะ
เสียงไวส์แมน "หึหึ...... รู้สึกว่าในที่สุดก็รู้สำนึกแล้วสินะ ว่านี่ต่างหากที่เป็นพลังอันแท้จริง"
เอสเทล "มะ ไม่จริง...... ทำไมการโจมตีของทางนี้ทำอะไรไม่ได้เลยล่ะ......"
โยชัวร์ "มันกำลังแผ่ม่านพลังบางอย่างอยู่น่ะ...... แต่...... ไม่คิดเลยว่าจะใช้ได้ถึงขนาดนี้......"
เสียงไวส์แมน "คึคึ ในบรรดาสมบัติทั้งเจ็ด [วงแหวนประกายแสง] เป็นสิ่งที่คอยควบคุมดูแลห้วงอวกาศ...... สามารถแผ่ [ม่านพลังสัมบูรณ์] ออกมาได้อย่างท่วมท้น ซึ่งเวทย์มนตร์ออร์บเมนท์ไม่อาจเทียบเคียงได้ มิติที่ฉันกับพวกเธออยู่ มันแตกต่างกันมากเกินไปเสียแล้วล่ะ"
- เนตรมารของไวส์แมน สะกดการเคลื่อนไหวของพวกเราทุกคนอีกครั้ง
- "ไวส์แมน...... คุณนี่มัน......" สายตาอันเคียดแค้นของโยชัวร์จับจ้องไปยังไวส์แมน
เสียงของไวส์แมน "คึคึ...... แววตานั่น...... จะฆ่านายทิ้งซะมันน่าเสียดายอย่างที่คิดจริง ๆ...... จะค่อย ๆ ปรับปรุง แล้วก็จะฝัง [ตราบาป] ให้อีกครั้ง...... และหลังจากที่ได้รับความหวัง ฉันจะทำลายให้ก่อนที่มันจะเติบโตยิ่งขึ้นอีกครั้ง...... สภาพที่ความหวังเปลี่ยนแปลงไปเป็นความสิ้นหวัง...... จะเป็นความสนุกที่เฝ้ารอจากนี้ไปนะ...... คึคึคึ......"
- "เฮ้อ...... ดู ๆ ไปแล้วเรียกว่าป่วย น่าจะเหมาะกว่าคำว่ารสนิยมแย่นะ" เสียงชายหนุ่มดังขึ้น ณ เบื้องหน้าของพวกเราในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น "จักรพรรดิดาบเรเว" ก็ขี่ดรากิออนสีดำขลับเข้ามา และบังคับมันเข้าโจมตีไวส์แมน
เสียงไวส์แมน "ฮืม...... น่าจะจัดการเธอให้จบ ๆ เรื่องไปก่อนรึเนี่ย แต่ว่าเรเว เพิ่งมาเอาป่านนี้ เธอจะทำอะไรได้? ถึงจะใช้ดรากิออนก็เถอะ ยังไง ๆ ก็ไม่มีทางทำลายม่านพลังของ [วงแหวน] ได้อยู่ดี"
จักรพรรดิดาบเรเว "......ก็คงงั้น ว่าแต่ไวส์แมน ชั้นมีอะไรอยากจะถามสักหน่อย [โศกนาฏกรรมแห่งเฮอร์เมล] 『ハーメルの悲劇』 ...... แกมีส่วนร่วมไปถึงขั้นไหน?"
โยชัวร์ "!?"
เสียงไวส์แมน "โอ้ อย่าพูดจาในแง่ที่ทำให้คนอื่นฟังดูไม่ดีนักสิ เรื่องนั้นเป็นคดีที่ฝ่ายฝักใฝ่สงครามที่อยู่ในจักรวรรดิ วางแผนก่อการขึ้นเองทั้งหมดไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมฉันจะต้องไปมีส่วนร่วมด้วยล่ะ?"
จักรพรรดิดาบเรเว "นั่นก็เพราะแกคือ [งู] 『蛇』 ยังไงล่ะ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าผู้ที่มีความอ่อนแอ เพรียกแผนการที่จะนำมาซึ่งความหายนะ...... แล้วบรรลุเป้าหมายของตน โดยที่มือไม่ต้องแปดเปื้อน...... ......นั่นเป็นวิธีการของแกใช่มั้ยล่ะ"
โยชัวร์ "อ๊ะ......"
จักรพรรดิดาบเรเว "จริง ๆ แล้ว ชั้นได้ยินมาว่าพวกหัวหอกของฝ่ายฝักใฝ่สงคราม มีแต่พวกคนสิ้นไร้ไม้ตอกเพราะพ่ายแพ้ไปในการแย่งชิงอำนาจในสมัยนั้น ถ้าหากสงครามเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นแนวทางของแผนการในครั้งนี้ล่ะก็...... ชั้นว่ามันคงจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้"
เสียงไวส์แมน "คึคึคึ...... อย่างนี้นี่เอง เอาเถอะ ส่วนใหญ่ก็คงจะตรงตามที่นายพูดมา"
เอสเทล "!!"
เสียงของไวส์แมน "เพียงแต่ว่าสิ่งที่ฉันทำ ก็แค่แนะนำทหารพรานที่ล่มสลายไปแล้วให้พวกเขารู้จัก แล้วก็กระซิบบอกชื่อของเฮอร์เมลไปก็เท่านั้นเอง แค่เรื่องนิดเดียว สถานการณ์ก็ดำเนินไป แล้วก็ลุกลามไปสู่สงครามในชั่วพริบตา คึคึ...... ซึ่งก็คือผลลัพธ์ของการทดลองที่ทำให้ได้รู้ถึงฝีมือของมนุษย์ยังไงล่ะ"
- เมื่อพวกเราได้ฟังก็รู้สึกคลื่นไส้และแค้นเคืองกับการกระทำของไวส์แมน ที่ได้วางแผนชั่วร้ายอันแยบยลมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิดาบเรเว "อย่างนี้นี่เอง...... ส่วนใหญ่ก็ตรงตามที่คิดเอาไว้อย่างงั้นหรือ"
เสียงไวส์แมน "......โอ้ เยือกเย็นกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีกนะ ทั้ง ๆ ที่ฉันอยากจะให้เธอรู้สึกโกรธแค้นยิ่งกว่านี้อีกสักนิด"
- "หึหึ ก็เพราะใจของชั้นมันด้านชามาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วน่ะสิ......" เรเวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นชา
จักรพรรดิดาบเรเว "แต่ความผิดที่แกทำให้ชั้นหมดสติไปจากข้างหลังเมื่อครู่นี้ สำหรับ [จักรพรรดิดาบ] แล้ว ถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก ชั้นจะขอทวงคืนเฉพาะหนี้แค้นอันนั้นก็แล้วกัน"
เสียงไวส์แมน "ว่าไงนะ......"
- เรเวกระโดดขึ้นไปบนแขนของดรากิออน แล้วใช้ดาบสีทองเล่มใหญ่ของเขาฟันลงไปตรงจุดที่ดรากิออนกำลังเจาะม่านพลังอยู่ เพียงดาบเดียวก็ทำให้ม่านพลังเกิดรอยร้าวขึ้นได้
เสียงไวส์แมน "บะ บ้าน่า...... ม่านพลังสัมบูรณ์ของ [วงแหวน] กำลังจะ...... !!! อย่างนี้นี่เอง...... ดาบเล่มนั้นมัน!"
จักรพรรดิดาบเรเว "ถูกต้อง...... ดาบที่ชั้นได้รับมาจาก [นายเหนือหัว]...... ดาบมารที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยหลักการ [นอกรีต] เหมือนกับคฑาของแกยังไงล่ะ......"
เสียงไวส์แมน "คึ...... ไม่ทันระวัง...... ......ฮึ้ยย...... ปล่อยซะ...... ปล่อยเดี๋ยวนี้..... เจ้าคนโง่เง่าเบาปัญญา!"
- ไวส์แมนปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาปกป้องตัวเอง แต่ทว่าสายไปเสียแล้ว พลังจากดาบของเรเวทำให้ม่านพลังแตกออก พร้อมกับแรงดันภายในที่ระเบิดออกมา ทำให้เรเวและดรากิออนกระเด็นไปอีกทาง
- "ระ เรเว!?" โยชัวร์ตะโกนเรียกเรเวด้วยความเป็นห่วง
จักรพรรดิดาบเรเว "ไม่ต้องสนใจชั้น......! เส้นทางเปิดออกแล้ว......! ......ที่เหลือพวกนายจงแพ้วถางมันซะ......!"
โยชัวร์ "คึ......!"
- โยชัวร์จำยอมปล่อยเรเวทิ้งเอาไว้ และหันมาเผชิญหน้ากับไวส์แมนอย่างไม่มีทางเลือก
- "......ทำได้ดี...... แต่ก็ช่างเถอะ...... ม่านพลังสัมบูรณ์อะไรนั่น มันก็แค่พลังปลายแถวของ [วงแหวน] ...... " ไวส์แมนกล่าวขึ้น พลางเผยให้เห็นลูกแก้วที่อยู่กลางหน้าอกของเขาที่กำลังส่องแสงสีทองเรืองรอง "......จะปลดปล่อยพลังทั้งหมด แล้วจะให้พวกแกได้ลิ้มรสชาติแห่งความสิ้นหวัง......"
- จากนี้ไป เราจะต้องต่อสู้ในฐานะเบรเซอร์ ในฐานะชาวลีเบร์ล และในฐานะมนุษย์กับ "แองเจลไวส์แมน" อีกครั้งในโลกต่างมิติค่ะ
- แองเจลไวส์แมน (ร่างแรก) + กรีดลูปเปอร์ *4 -
- 『アンヘルワイスマン(第一形態) + グリードルーパー*4』 -
**เมื่อเริ่มการต่อสู้ HP&EP ของพวกเรา ตัวเกมจะฟื้นฟูให้จนเต็มค่ะ**
**ในร่างนี้ ไวส์แมนยังคงใช้อาร์ทระดับสูงของทุกคุณสมบัติได้ ไม่ว่าจะเป็น "จิโอคาทราสโทรฟ", "โคคิวทอส", "อาร์คโพรมิแนนส์", "แกรนสตรีม" และ "อบิส ฟอล" ค่ะ**
**และท่าประจำตัวทั้งหลายในร่างนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อย ไม่ว่าจะเป็น "แสงอานุภาพเอนีล" ที่ถึงแม้จะฟื้นฟู HP ให้ฝ่ายเรา แต่ก็ทำให้ติด "สับสน", "หอกเทพอินันน่า" ที่โจมตีกินอาณาเขตปานกลาง ทั้งยังทำให้เราติด DEF Down หรือ "ดาราชั่วร้ายชาบัต" ที่โจมตีทั่วฉากและพัดฝ่ายเราจนร่นไปอยู่ในแนวหลังค่ะ**
**เมื่อแองเจลไวส์แวนร่ายอาร์ทใด ๆ ก็ตาม DEF&ADF ของมันจะลดลง ให้เราฉวยโอกาสตอนนี้กระหน่ำโจมตีให้ได้มากที่สุดค่ะ**
**ระวัง กรีด ลูปเปอร์ สามารถโจมตีเราพร้อม ๆ กับดูด CP ได้ด้วย แนะนำ ให้ปราบเจ้าตัวนี้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ**
**แองเจลไวส์แมน สามารถเรียก "กรีด ลูปเปอร์" มาเพิ่มได้ค่ะ**
- ปราบได้ ไวส์แมนแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่า พวกเราจะสามารถทนทายาดมาได้จนถึงขนาดนี้ ในขณะที่ไวส์แมนกำลังจะเข้าโจมตีเราอีกครั้ง จู่ ๆ ก็เกิดความผิดปกติอะไรบางอย่างขึ้นกับตัวเขา
- [วงแหวน] ที่อยู่ภายในร่างของไวส์แมน ส่งเสียงขานรับความต้องการที่ไวส์แมนไม่ได้ขอ ฉับพลันที่ลูกแก้วตรงกลางอกส่องแสง สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายงูก็ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่าง และประกอบตัวเองเข้ากับร่างของไวส์แมนที่ค่อย ๆ ถูก [วงแหวน] ควบคุมสติสัมปชัญญะ
- บัดนี้ ดวงตาของแองเจลไวส์แมนเบิกกว้างขึ้น 6 ดวง สยายปีกทั้ง 10 ปีกขึ้นอย่างน่าพรั่นพรึง พลังกดดันวิญญาณแผ่กระจายท่วมท้น แต่เพื่อที่จะกลับไปหาเรเว พวกเรามีทางเดียวที่ทำได้ก็คือ โค่นมันซะ!! ค่ะ
- แองเจลไวส์แมน (ร่างที่ 2) + อัลฟ่าโอเมก้า *4 -
- 『アンヘルワイスマン(第二形態) + アルファオメガ*4』 -
**แองเจลไวส์แมนร่าง 2 ที่งดงาม (?) ราวกับทูตสวรรค์และมีหางเป็นงูตัวนี้ เก่งเทพและก็มี HP ที่โกงสุด ๆ สมกับเป็นลาสต์บอสจริง ๆ ค่ะ**
** ถึงแม้ ร่างนี้จะไม่สามารถใช้อาร์ทได้ แต่ก็มีท่าต่าง ๆ อันแสนน่ากลัวมาทดแทนหลายท่า**
**ไม่ว่าจะเป็นท่าดั้งเดิมอย่าง "หอกเทพอินันน่า" (อาณาเขตปานกลาง - โจมตี + ทำให้ติด DEF Down)**
**หรือท่า "งูฉกแอกุออบ" 『蛇突アグオブ』 ที่ใช้หางซึ่งไม่ได้มีไว้โชว์ให้น่ากั๊วน่ากลัวเฉย ๆ โจมตีพร้อมกับสกัดกั้นการร่ายอาร์ทของฝ่ายเรา**
**"เกลียวมารพาเมลิค" 『乱旋パメリク』 (โจมตี + ทำให้ติดสับสน)**
**คำสาปออร์บุส 『呪縛オルブス』 (ทำให้ฝ่ายเราตัวเล็กลง)**
**หากเห็นลูกแก้วตรงกลางอกของไวส์แมนเป็นสีฟ้าเรืองรอง แสดงว่าเรากำลังจะโดน "สูบจิตศักดิ์สิทธิ์คุบริเอ" 『吸聖クブリエ』 ที่สามารถดูด CP พวกเราไปได้ไม่ใช่น้อยเลยล่ะค่ะ (ก็หมดหลอดเลยล่ะ 555)**
**เมื่อเห็นศัตรูชาร์จ (สังเกตดูจะมีวงแหวนขนาดใหญ่ขึ้นรอบตัวไวส์แมน และฉากกลายเป็นสีส้มเหมือนกับลูกแก้วตรงกลางอก) นั่นหมายความว่าเทิร์นต่อไปมันจะใช้ "เทวากราดเกรี้ยวแองเจล" 『激神アンヘル』 ที่จะเพิ่ม STR&SPD ให้ตัวเอง (แล้วก็ใส่ทรงกลดบนหัวให้ตัวเองด้วย) ซึ่งเราไม่สามารถยกเลิกท่านี้ได้ค่ะ**
**เมื่อแองเจลไวส์แมนชาร์จ (จะมีวงแหวนสีม่วง ๆ อยู่ด้านหลัง) เทิร์นต่อไปมันจะเสกวงเวทย์สีดำขี้นบนพื้นที่เรายืนอยู่ ระวังให้ดี ในเทิร์นถัดไปเรากำลังจะโดนท่า "พิภพวินาศโนว์อาว่า" 『滅界ノウアバ』 (อาณาเขตแคบ - ชาร์จก่อนใช้ ยกเลิกไม่ได้) ที่จะทำให้พื้นและตัวละครที่อยู่ในอาณาเขตหายไป และไม่สามารถกลับมาร่วมการต่อสู้ได้อีก แนะนำ ให้รีบเดินหนีออกมาโดยเร็วค่ะ**
**เมื่อเห็น แองแจลไวส์แมนชาร์จปีกทั้งสองข้าง (จะเห็นเป็นแสงสีเขียว ๆ) นั่นหมายความว่าในเทิร์นต่อไป ศัตรูจะใช้ท่าที่โจมตีได้รุนแรงสุดยอดอย่าง "ประกายระเบิดอดันเต้" 『爆輝アダンテ』 (ทั่วฉาก - ยกเลิกไม่ได้) ถ้าไม่ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ แนะนำ ให้ร่ายอาร์ทเพิ่มเลือดเตรียมไว้ได้เลยค่ะ**
**สังเกตดูดี ๆ เมื่อแองเจลไวส์แมนเพิ่ม DEF ให้ตัวเอง คุณสมบัติที่แพ้ทางจะเปลี่ยนไปด้วย วิธีดูง่าย ๆ ก็แค่ดูสีที่ตัวและลูกแก้วบนหน้าอก ถ้าตัวสีแดง=ธาตุไฟ > แพ้น้ำ, ตัวสีฟ้า=ธาตุน้ำ > แพ้ไฟ, ตัวสีเขียว=ธาตุลม > แพ้ดิน และตัวสีน้ำตาล=ธาตุดิน > แพ้ลมแนะนำ ให้ใช้อาร์ทคุณสมบัติที่แพ้นั้น ๆ ปราบจะง่ายขึ้นค่ะ**
**ในช่วงที่แองเจลไวส์แมนชาร์จท่าใด ๆ ก็ตาม DEF&ADF จะลดลง แนะนำ ให้กระหน่ำโจมตีได้ตามสะดวกเลยค่ะ**
**ระวัง นอกจากจะใช้ท่า "เอนเซลริง" โจมตีเราและใช้ท่า "สตาร์ไลท์" เพิ่ม STR&SPD ตัวเองได้ อัลฟ่าโอเมก้า ยังสามารถเทเลพอร์ตเข้าโจมตีเรา รวมทั้งทำให้พื้นที่เรายืนอยู่หายไปได้ด้วย แนะนำ ให้ปราบเจ้าตัวนี้ก่อนค่ะ**
**แองเจลไวส์แมน สามารถปล่อยลำแสงให้กำเนิด "อัลฟ่าโอเมก้า" มาเพิ่มได้ค่ะ**
- ปราบได้ ลูกแก้วที่อยู่ตรงหน้าอกซึ่งเป็นศูนย์รวมพลังของ [วงแหวนประกายแสง] ก็หลุดออกจากร่างของแองเจลไวส์แมน และค่อย ๆ มลายหายไปกลางอากาศค่ะ
- "มะ...... ไม่จริงน่า...... [วงแหวนประกายแสง] ...... หะ หายไปแล้ว......" ไวส์แมนที่หลุดจากการรวมร่าง กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างรุนแรงบวกกับความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นอย่างที่เขาไม่ได้คาดคิด
- "บ้าน่า...... บ้าที่สุดดดดดดดดดดดดด!!" พูดจบไวส์แมนก็ค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น และใช้พลังของคฑาเทเลพอร์ตหนีไปค่ะ
- เอสเทลพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า "คนพรรค์นั้นจะยังไงก็ช่างเถอะ! ทะ ที่สำคัญก็คือ......!" ทุกคนเก็บอาวุธลงราวกับเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า สิ่งสำคัญในตอนนี้ที่เอสเทลบอก ไม่ใช่การตามไวส์แมนไป แต่คือการเข้าไปดูอาการของเรเวต่างหากค่ะ
◆ในกรณีที่มี "หลวงพ่อเควิน" ร่วมกลุ่มมาด้วย เขาจะมีท่าทีแตกต่างไป แทนที่จะวิ่งเข้าไปดูอาการของเรเวเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ กลับยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้ววิ่งออกไปจากที่นี่คนเดียวค่ะ
(ทุกคนมัวแต่ห่วงเรเว จึงไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำของเควินเลยค่ะ)
โยชัวร์ "เรเว...... ทำใจดี ๆ ไว้! จะช่วยรักษาให้เดี๋ยวนี้แล้ว!"
- เรเวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น หันมาพูดกับโยชัวร์ด้วยลมหายใจที่รวนริน
จักรพรรดิดาบเรเว "......ไม่จำเป็น...... ถ้าเป็นนาย...... ก็น่าจะรู้...... ......ว่ามันไม่ใช่บาดแผลที่จะช่วยเหลืออะไรได้อีกแล้ว......"
โยชัวร์ "ไม่เอานะ...... ผมไม่ยอมหรอก! แม้แต่เรเว...... ......ก็จะเป็นเหมือนกับพี่......! แบบนั้น...... ......มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะ......!"
- โยชัวร์ร้องไห้ฟูมฟาย เรียกร้องยื้อชีวิตของคนสำคัญที่เขารู้ดีว่ากำลังจะจากไปอีกคน
จักรพรรดิดาบเรเว "หึหึ...... อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ...... ......ยังกับตอนเด็ก ๆ ...... ดูแล้วเหมือนกับกลับไปเป็นคนขึ้แยเลยนะ......"
โยชัวร์ "ก็ใช่น่ะสิ! ก็ผมทั้งอ่อนแอ...... ทั้งขี้อ้อนแบบนี้...... ผม...... ......ยังต้องการเรเวอยู่นะ...... เพราะงั้น...... ขอร้องล่ะ......"
จักรพรรดิดาบเรเว "......เฮ้อ...... นี่น่ะ...... โยชัวร์...... ......ถ้าทำใจยอมรับไม่ได้...... นายก็จะเป็นอย่างพวกชั้นนะ...... อย่ายอมตาย...... เพื่อปกป้อง...... คนสำคัญ...... ......แต่จงมีชีวิตอยู่ ......เพื่อปกป้องซะ......"
โยชัวร์ "!!!"
จักรพรรดิดาบเรเว "เอสเทล ไบรท์...... ............ชั้นมีเรื่องขอร้อง....................."
เอสเทล "ได้สิ...... อะไรเหรอ......?"
จักรพรรดิดาบเรเว "เจ้าหมอนี่ดูเหมือนจะเข้มแข็ง...... แต่ยังมีจุดที่จิตใจยังอ่อนแอ...... ตอนนี้ที่คำสาปทั้งหมดคลายออกไปแล้ว...... ......คงจำเป็นที่จะต้อง...... รู้ความหมายที่แท้จริงที่จะเข้มแข็งขึ้น...... ......เพราะงั้นฝากด้วยนะ...... จากนี้ไป...... ช่วยสนับสนุนเจ้าหมอนี่...... ......สนับสนุนน้องชายของพวกชั้นให้ด้วย......"
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ...... ถึงไม่บอกชั้นก็คิดจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ...... แต่ชั้น...... ก็จะขอสัญญาเอาไว้ที่นี่ตอนนี้ เพราะงั้น...... วางใจได้เลย"
จักรพรรดิดาบเรเว "......รบกวนด้วยล่ะ............"
- "......หึหึ...... แต่ในที่สุด...... ก็เข้าใจสักที......" เรเวพูดขึ้นพลางเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นมานานแสนนาน รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่มาจากใจของเขาอย่างแท้จริง
จักรพรรดิดาบเรเว "......ว่าทำไม...... ในตอนนั้น...... คารินถึงได้...... ตายจากไปราวกับกำลังยิ้มอยู่...... ที่แท้ก็เป็น...... ความรู้สึก...... ที่เปี่ยมล้น...... ขนาดนี้...... ......เองสินะ......"
- ดวงตาของเรเวปิดลง และสิ้นลมไปทั้ง ๆ ที่ยังยิ้มอยู่ ดังเช่นยามที่คารินตายไปไม่ผิดเพี้ยน
- "ระ...... เรเว......?" โยชัวร์พยายามเรียกเรเว แต่ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา
โยชัวร์ "หยะ หยุดล้อเล่นทีเถอะ...... ต้องได้ยิน...... ......อยู่แล้วสินะ......?"
- ไม่มีคำพูดใด ๆ ของเรเวตอบกลับมาจากร่างที่เย็นเฉียบของเขาเลยแม้แต่น้อย "ก็บอกว่าต้องได้ยินอยู่แล้วใช่มั้ย......!? ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ได้มาพบกันอีกครั้ง......! ......ทัง ๆ ที่อุตส่าห์...... กลับมาพูดอย่างยิ้มแย้มได้อีกครั้ง!" โยชัวร์น้ำตาปริ่มพยายามพูดกับร่างที่ไร้วิญญาณของเรเว
โยชัวร์ "ขอร้องล่ะ...... ขอร้องล่ะตอบผมหน่อยยยยยยย!"
เอสเทล "โยชัวร์......"
- ทุกคนไม่อาจทำอะไร ได้แต่ยืนมองโยชัวร์ร่ำไห้ให้กับบุคคลซึ่งเปรียบเสมือนพี่ชายของเขาอย่างเศร้าใจ
- ตอนนั้นเอง "ร้อยเอกยูเลีย" และ "พันตรีมิวเลอร์" นำเหล่าพวกพ้องเข้ามาสมทบ
- เมื่อร้อยเอกยูเลียเห็นร่างที่แน่นิ่งของเรเว ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
(ได้รับทราบจาก "พันตรีมิวเลอร์" ว่า หลังจากที่พวกเราลงมาข้างล่างนี่ พวกมังกรเครื่องจักรก็โผล่มาอีกหลายตัว แล้วตอนที่เพื่อน ๆ ของพวกเรากำลังเข้าตาจน เรเวก็เรียกมังกรเครื่องจักรสีดำมา ทำให้พวกเขากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และก็ปลอดภัยกันอย่างที่เห็นค่ะ ส่วน "ดร. รัซเซล" ก็ถามถึงไวส์แมนกับ [วงแหวนประกายแสง] ซึ่งเอสเทลก็บอกได้แต่เพียวว่า [วงแหวนประกายแสง] หายไปไหนก็ไม่รู้ ส่วนไวส์แมนก็รู้สึกว่าจะหนีไปซะแล้วค่ะ)
- "อะไรนะ...... หายไปแล้วงั้นร๊อ? อืมม์...... ถ้าอย่างนั้นอาจจะแย่ก็ได้นะ......" ดร. รัซเซลพูดขึ้นเรียบ ๆ ทันใดนั้นเองนครลอยฟ้าก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ดร. รัซเซล "......[วงแหวนประกายแสง] เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่คอยค้ำจุนนครลอยฟ้า ถ้าสิ่งนั้นหายไปล่ะก็...... นครแห่งนี้ก็จะพังทลายลงทันที"
- เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน และตัดสินใจว่า ต้องรีบ ๆ กลับไปที่ [อัลเซยู] และ [แมวป่า] ที่ทำการซ่อมแซมเรียบร้อยให้เร็วที่สุด โดยใช้ประตูข้าง ๆ ลิฟท์ซึ่งเป็นเส้นทางฉุกเฉินที่จะออกไปจาก [หอคอยแกนกลาง] แห่งนี้ค่ะ
- ถึงแม้ทุก ๆ คนจะไปกันหมดแล้ว แต่โยชัวร์ยังคงนั่งเศร้าเสียใจอยู่ข้าง ๆ เรเวโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เอสเทล "โยชัวร์...... เอ่อ...... ชั้นรู้ว่ามันทรมาน...... ......แต่เราต้องรีบไปนะ......"
โยชัวร์ "ขอโทษนะ...... เอสเทล...... แต่ขอร้องล่ะ...... ไปกันก่อนเถอะ...... ไม่ต้องห่วง...... ......ผมก็ได้....."
- เอสเทลได้ยินก็เงียบอยู่ครู่นึง ก่อนที่จะเดินเข้าไปดึงโยชัวร์ให้ลุกขึ้น แล้วตบหน้าเขา
- "โยชัวร์...... ทำใจดี ๆ หน่อยสิ! ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เรเวพูดเลยใช่มั้ย! จงมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อปกป้องซะ...... เขาพูดเอาไว้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ!?" เอสเทลน้ำตาปริ่มพลางพูดให้โยชัวร์ได้สติ
เอสเทล "ชั้นไม่ลืมหรอกนะ! ที่สัญญากับคน ๆ นี้ว่าจะคอยสนับสนุนโยชัวร์น่ะ! ยังไงก็ไม่มีทางลืมเด็ดขาด!"
โยชัวร์ "เอสเทล...... ......ขอโทษนะ...... ผมนี่มัน...... ขี้แยจริง ๆ ด้วย"
- โยชัวร์ก้มลงไปหยิบดาบใหญ่ที่หักอยู่ข้าง ๆ เรเว แล้วเก็บมันไว้กับตัว
โยชัวร์ "เรเว...... สิ่งนี้...... ผมจะรับฝากเอาไว้นะ เพราะผมจะเอาไปส่งให้ที่เฮอร์เมล...... ส่งให้พี่เอง"
เอสเทล "......โยชัวร์......"
- ใบหน้าของเอสเทลและโยชัวร์เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย แต่นั่นก็เป็นรอยยิ้มที่จะไปสู่เส้นทางชีวิตแห่งใหม่ที่เรเวได้หลงเหลือแสงส่องทางเอาไว้ให้
- จากนั้น เพื่อน ๆ ที่ร่วมสู้ด้วยกันกับเราจะเข้ามาเร่งให้รีบ ๆ หนีออกไปกันค่ะ
- เอสเทลและโยชัวร์หันไปมองดูร่างของเรเวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วโยชัวร์พูดเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มว่า "(ลาก่อน...... เรเว)"
- อีกด้านหนึ่ง ไวส์แมนกำลังลากสังขารอันโรยแรงของเขา หนีตายออกไปจากที่นี่ -
- "......บ้าน่า...... เรื่องบ้า ๆ พรรค์นี้น่ะ...... สถานการณ์แบบนี้...... ไม่มีอยู่ในคำพยากรณ์ของ [นายเหนือหัว] สักหน่อย...... ......ดะ ......เดี๋ยวก่อนสิ...... ระ หรือว่าที่ถูกทดสอบ...... ฉันก็โดนด้วยงั้นเรอะ......" ไวส์แมนพูดทบทวนกับตัวเองอย่างตระหนก ก่อนที่จะมีสีหน้าเคียดแค้นและกล่าวว่า "คึ...... ถ้ากลับไปเมื่อไรต้องถามหน่อยแล้ว......"
- "โทษที แต่เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ" เสียงของชายหนุ่มสำเนียงคันไซดังขึ้น "หลวงพ่อเควิน" ค่อย ๆ เดินเข้ามาและหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไวส์แมนที่กำลังอ่อนแรง
ศจ. ไวส์แมน "เควิน แกรแฮม...... มานี่ตั้งแต่เมื่อไร...... ถอยไปซะ...... ปลาซิวปลาสร้อยอย่างแก ไม่อยู่ในสายตาฉันหรอก......"
- ทันทีที่พูดจบไวส์แมนเรียกคฑาออกมา หมายจะโจมตีเควิน แต่ทว่าเควินก็หยิบสัญลักษณ์แห่งจอกดาราที่แขวนอยู่ที่เอวของเขาขึ้นมา ป้องกันเนตรมารของไวส์แมนได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างความตื่นตกใจให้กับไวส์แมนเป็นอย่างมาก
ศจ. ไวส์แมน "......แก...... [เนตรมาร] ใช้ไม่ได้ผลรึเนี่ย!? ถึงจะเป็นอัศวินจอกดารายังไง ก็ไม่มีทางที่คนเข้าใหม่จะป้องกันได้......"
- ม่านพลังที่ป้องกันเควินหายไปในทันทีที่เขาเก็บสัญลักษณ์จอกดาราลง พลางพูดทีเล่นทีจริงตามสไตล์ของเขา
หลวงพ่อเควิน "อ๊า------ โทษที ๆ ก็แค่หลอกให้ตายใจ ทำให้คนอื่นไขว้เขวน่ะ ชั้นคือลำดับที่ 5 แห่งหน่วยอัศวิน นับตั้งแต่นั้น ก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปตามสถานที่ไล่ล่าสังหารอยู่บ่อย ๆ เอาเถอะ ถึงยังไงจะเอาชนะนายในสภาพปกติมันก็ยากเอาการ......"
- "แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ มีช่องโหว่ที่ชั้นจะได้เปรียบอยู่เต็มไปหมด" เวลานี้ ท่าทีของเควินไม่เหมือนกับท่าทีของบาทหลวงใจดีและขี้เล่นตามปกติของเขาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ซ่อนอยู่ภายใน
- เควินฉวยโอกาสที่ไวส์แมนกำลังงุนงง หยิบโบว์กันขึ้นมาเล็งและยิงเข้าใส่ไวส์แมนทันที
ศจ. ไวส์แมน "คึ......"
หลวงพ่อเควิน "......ภารกิจที่แท้จริงของชั้น ไม่ใช่การสำรวจ [วงแหวนประกายแสง] ---------แต่คือการจัดการนายให้สิ้นซากต่างหากล่ะ------ นักบวชธุศีลที่แสนชั่วร้าย เกออร์ก ไวส์แมน"
ศจ. ไวส์แมน "คึคึ...... อย่างนี้นี่เอง...... แต่การโจมตีในระดับแค่นี้ นึกหรือว่าจะทำให้ [ไร้หน้า] คนนี้พินาศไปได้......"
- ทว่า ไวส์แมนทรุดลงทันที ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะถือคฑาต่อไปได้ ในตอนที่เขากำลังสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นนั้น ร่างกายช่วงล่างของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเกลือลามขึ้นมาเรื่อย ๆ
ศจ. ไวส์แมน "สะ [เสาเกลือ] 『塩の杭』 ...... เครื่องอาคมต้องห้ามที่ในอดีตได้เปลี่ยนภาคเหนือของโนแซมเบรีย 『ノーザンブリア』 ให้กลายเป็นทะเลเกลือ...... ถึงกับเอาของแบบนี้ออกมา เพื่อจัดการฉันคนเดียวเลยงั้นเรอะ!"
- เควินเก็บอาวุธของเขาลง พลางพูดต่อด้วยใบหน้าเย็นชาที่แฝงไปด้วยความอำมหิต
หลวงพ่อเควิน "นายทำอะไรเกินเลยไปหน่อย ถึงโบสถ์จะวางตัวเป็นกลาง แต่ก็ทำเป็นมองข้ามไปไม่ได้อีกแล้ว พินาศย่อยยับไปแต่โดยดีซะเถอะ"
- ร่างของไวส์แมนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเกลือไปเรื่อย ๆ เขาสบถออกมาด้วยความโกรธแค้นก่อนที่จะกลายเป็นเกลือทั้งตัวว่า "แก...... ไอ้สุนัขรับช้ายยยยย!"
- "สุนัขรับใช้งั้นเรอะ...... เอาเถอะ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นนั่นล่ะนะ" ต่อหน้าร่างของไวส์แมนที่กลายเป็นเกลือไปโดยสมบูรณ์ เควินพูดคำพูดนี้ออกมาด้วยสีหน้าอันแสนเย็นชาราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็แสดงสีหน้าที่เจ็บปวดออกมาเงียบ ๆ คนเดียว
หลวงพ่อเควิน "โยชัวร์คุง เธอน่ะโชคดี ไม่เหมือนคนอย่างชั้น ที่ยังไม่มีโอกาสจะแก้ตัวใหม่ได้เลย"
- "อุหึหึ...... แสดงว่าอิจฉางั้นเหรอ?" ทันทีที่พูดจบ "ตัวตลกคัมพาเนลล่า" ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเปลวเพลิงซึ่งเป็นวิชามายาของเขา
ตัวตลกคัมพาเนลล่า "อัศวินจอกดาราลำดับที่ 5------ [นักล่านอกรีต] 『外道狩り』 เควิน แกรแฮม อุหึหึ...... อำมหิตไม่ผิดไปจากคำร่ำลือเลยนี่นา"
หลวงพ่อเควิน "นายคือ...... ถ้าจำไม่ผิด [ตัวตลก] 『道化師』 สินะ แต่เสียใจด้วย...... เขาน่ะสายไปซะแล้ว"
ตัวตลกคัมพาเนลล่า "หึหึ...... ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินมาหรือยัง แต่หน้าที่ของผมคือ [ผู้เฝ้าดู] ต่างหาก ผมเข้าใจกระบวนการทั้งหมดของแผนการเป็นอย่างดี และจะรายงานต่อ [นายเหนือหัว] โดยไม่มีข้อยกเว้น การทำลายตัวเองของศาสตราจารย์ก็เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปปกป้องสักหน่อย"
หลวงพ่อเควิน "อย่างนี้นี่เอง...... ท่าทาง [งูกินหาง] ------ จะมีปริศนาอยู่อีกมากเลยนะ"
ตัวตลกคัมพาเนลล่า "หึหึ ผมว่าหน่วยอัศวินอย่างพวกนาย ก็เหมือน ๆ กันนั่นล่ะน้า อาวล่ะ...... เท่านี้หน้าที่ของผมก็จบลงแล้ว และก็เก็บกู้ของที่ทำหล่นไปแล้วได้ด้วย ถึงเวลากลับไปได้แล้วล่ะมั้ง"
หลวงพ่อเควิน "ว่าไงนะ......!?"
- คัมพาเนลล่าดีดนิ้ว ทำให้ร่างของไวส์แมนที่กลายเป็นเกลือแหลกเป็นผุยผง เปลวเพลิงสีแดงปรากฏขึ้นรอบตัวเขาและคฑาของไวส์แมน
ตัวตลกคัมพาเนลล่า "อ๊ะฮ่าฮ่า! ถ้าอย่างนั้นขอให้โชคดี! ผมจะภาวนาให้ได้พบกันใหม่ในโอกาสหน้านะ!"
- ร่างของคัมพาเนลล่าและคฑาหายไป หลงเหลือเพียงแต่กองเกลือจากร่างของไวส์แมนเท่านั้น
หลวงพ่อเควิน "ของที่ทำหล่น...... หรือว่าจะเป็น...... ........................................... ช่างเถอะ...... เกินไปกว่านี้มันนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของชั้นซะด้วย"
- "ต้องรีบ ๆ ไปรวมพลกับพวกเอสเทลจังซะแล้ว......" เควินกลับมามีสีหน้าตามเดิม แล้วกลับไปรวมตัวกับพวกเอสเทลค่ะ
- จากนั้น พวกเอสเทลก็หนีออกไปจาก [หอคอยแกนกลาง] ที่กำลังจะพังทลายลง และเนื่องจากว่า พลังงานออร์บเมนท์บนนครแห่งนี้อ่อนลง ทำให้ไม่สามารถใช้ [เรลไฮโลว์] ได้ พวกเราทุกคนจึงต้องใช้เส้นทางใต้ดินมุ่งหน้าไปยังอัลเซยูที่จอดเทียบท่าในเขตสวนหย่อมค่ะ
เส้นทางใต้ดินลีเบล=อาร์ค - 3 『リベルアーク地下道・3』
- ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไปตามเส้นทางใต้ดินนั้น จู่ ๆ โยชัวร์ก็ทรุดตัวลง เอสเทลที่วิ่งรั้งท้ายอยู่กับโยชัวร์ก็เข้าไปถามเขาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งโยชัวร์บอกว่าเขาแค่รู้สึกหน้ามืดนิดหน่อยค่ะ
(จากตรงนี้จะได้รับทราบจาก "หลวงพ่อเควิน" ที่วิ่งเข้ามาช่วยอีกแรงว่า อาการหน้ามืดของโยชัวร์เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ [ตราบาป] หายไป ซึ่งอาการที่ว่าจะมีทั้งหน้ามืด ปวดหัว คลื่นไส้ และจะรู้สึกทรมานเป็นระยะเวลายาวนาน แต่โยชัวร์ก็เข้มแข็งมาก เขายืนขึ้นบอกเอสเทลว่า เรื่องพวกนั้นเขาเตรียมใจเอาไว้ก่อนที่จะไปขอร้องคุณเควินแล้วล่ะค่ะ)
- หลังจากที่โยชัวร์รู้สึกดีขึ้นแล้ว พวกเราก็วิ่งต่อไป แต่ทว่า โยชัวร์ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขากระโดดกลับไปหาเอสเทลที่วิ่งตามหลังมา แล้วจุดที่เอสเทลยืนอยู่เมื่อสักครู่ ก็มีหินตกลงมาจากด้านบนทับจนทางขาด เรื่องเลยกลายเป็นว่า ทั้ง 2 คนโดนแยกจากเพื่อน ๆ ที่วิ่งนำหน้าไปอยู่แล้วโดยปริยายค่ะ
- เพื่อน ๆ วิ่งกลับมาด้วยความเป็นห่วง และพยายามคิดหาทางว่ามีเส้นทางอื่นที่จะหนีได้อีกหรือไม่ เอสเทลและโยชัวร์มองหน้ากันก่อนที่จะบอกให้เหล่าพวกพ้องหนีไปกันก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเธอจะพยายามหาทางออกอื่นเอง แต่เจ๊เชร่าไม่ยอม เพราะถ้าทิ้งให้พวกเอสเทลอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ยังหาทางออกไม่ได้ แล้วเธอจะกลับไปมองหน้าอาจารย์คาซิอุสได้ยังไง เมื่อได้ฟังดังนั้นทั้ง 2 คนจึงขอโทษเจ๊เชร่าที่พูดอะไรโดยไม่คิดค่ะ
- จากนั้น เหล่าพวกพ้องทุกคนก็พยายามคิดหาทางกันอีกครั้ง แล้วทุกคนก็นึกขึ้นมาได้ว่า ที่ด้านหน้า [หอคอยแกนกลาง] ยังมีเส้นทางใต้ดินอยู่อีกเส้น และมีป้ายเขียนบอกว่า เป็นเส้นทางฉุกเฉินที่จะไปสู่ [คาล์มาเร่] ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงรีบตะโกนบอกให้พวกเอสเทลใช้เส้นทางอันนั้นกลับไปที่อัลเซยู ส่วนพวกเขาก็จะใช้เส้นทางฝั่งนี้ล่วงหน้าไปรอที่นั่นกันก่อนค่ะ
- เวลาเหลือน้อยเต็มทน รีบ ๆ บังคับ 2 ตัวเอกมุ่งหน้ากลับไปที่ด้านหน้า [หอคอยแกนกลาง] แล้วเข้าไปสู่เส้นทางใต้ดินที่อยู่อีกฝั่งได้เลยค่ะ
- เมื่อออกมาสู่ด้านนอก ก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้น เส้นทางด้านหน้าขาดลง และเมื่อทั้ง 2 คนตัดสินใจที่จะย้อนกลับไป เส้นทางที่ผ่านมาก็ขาดไปอีก ณ เวลานี้ราวกับว่าทั้ง 2 คนยืนอยู่บนเกาะร้างกลางอากาศ ไม่มีทางหนีใด ๆ ให้ออกไปจากที่นี่ได้
เอสเทล "กลับไป...... ไม่ได้แล้วสินะ"
โยชัวร์ "อืม...... แล้วคานแคบ ๆ ด้านล่าง ก็คงจะยันที่นี่เอาไว้ได้ไม่ตลอด"
เอสเทล "งั้นเหรอ......"
โยชัวร์ "ขอโทษด้วยนะเอสเทล...... ถ้าในตอนนั้นผมไม่ทรุดลงไปล่ะก็......"
- "อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ" เอสเทลหันมาพูดกับโยชัวร์
เอสเทล "เพราะว่าชั้นได้โยชัวร์ช่วยไว้ ก่อนที่จะโดนหินหล่นลงมาทับเอานะ"
โยชัวร์ "แต่ว่า......"
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ...... เพราะอะไรกันนะ สถานการณ์แบบนี้แท้ ๆ แต่ชั้นไม่รู้สึกกลัวซักกะนิดเดียว แล้วโยชัวร์ล่ะ?"
โยชัวร์ "อ๊ะ...... อืม...... นั่นสินะ ผมเองก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิดเดียวล่ะมั้ง"
- คานซึ่งคอยค้ำยันที่นี่เอาไว้ใกล้จะหักแล้ว
- "นี่...... โยชัวร์ ขออะไรสัก 2 อย่างได้มั้ย?" เอสเทลเอ่ยถามโยชัวร์อย่างเอียงอาย
โยชัวร์ "ได้สิ"
เอสเทล "อย่างแรก...... ช่วยกอดชั้นหน่อยได้มั้ย?"
โยชัวร์ "ด้วยความยินดี"
- โยชัวร์ยิ้มรับอย่างมีความสุข แล้วเดินเข้าไปกอดเอสเทลอย่างอ่อนโยน
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ......"
โยชัวร์ "......แล้วอย่างต่อไปล่ะ?"
เอสเทล "เอ่อ คือว่า...... ถ้าโดนคิดว่าเซ้าซี้ล่ะก็ ชั้นต้องรู้สึกแย่นิด ๆ แน่เลย...... หรือจะบอกว่า...... ไม่อยากจะหลงเหลือความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปหรือเปล่านะ......"
โยชัวร์ "......ขอโทษนะ ต่อจากนี้ให้ผมเป็นคนพูดเองเถอะ"
- "เอสเทล...... ขอจูบได้มั้ย?" โยชัวร์ยิ้มถามเอสเทลเขิน ๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยสีหน้าที่มีความสุข
เอสเทล "อ๊ะ...... ......อื้ม......!"
- โยชัวร์บรรจงประทับริมฝีปากของเขาลงไปบนริมฝีปากของเอสเทล แล้วแท่นกลางอากาศก็พังลง เอสเทลยังคงอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของโยชัวร์ ทั้ง 2 คนร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างไปพร้อม ๆ กัน
- เมื่อ [หอคอยแกนกลาง] ซึ่งเป็นดั่งหัวใจของนครโค่นลง ยังผลให้ทุกส่วนของนครลอยฟ้า [ลีเบล=อาร์ค] ค่อย ๆ พังทลาย ชิ้นส่วนของนครร่วงลงสู่ทะเลสาบวาเลเรีย
- [อัลเซยู] และ [แมวป่า] ต่างก็หนีออกมาจากการพังทลายได้อย่างหวุดหวิด และทะยานสูงขึ้นเคียงคู่กัน
แมวป่า 『山猫号』
- "ขอร้องล่ะ พี่คีล! ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ พวกโยชัวร์จะ......!" โจเซ็ตน้ำตาคลอเบ้า เฝ้าดูภาพนครลอยฟ้าที่กำลังพังทลายพลาง ร้องขอให้พี่ ๆ หาทางช่วยเหลือพวกโยชัวร์ไปพลาง
คีล "ไม่มีทางแล้วล่ะโจเซ็ต...... ......สภาพแบบนั้น คงจะ......"
โจเซ็ต "ไม่จริง......"
โดรุน "......โธ่เว้ย...... ที่สุดของที่สุดแล้วแท้ ๆ ...... ทำไมเวลาแบบนี้...... เทพธิดาถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเลยล่ะหา!"
อัลเซยู 『アルセイユ』
- เหล่าพวกพ้องบนอัลเซยูได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างสิ้นหวัง และถึงแม้คลอเซ่จะขอให้ยูเลียนำอัลเซยูไปทางที่ส่วนปลายทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่พวกเอสเทลน่าจะอยู่ แต่ร้อยเอกยูเลียก็ไม่สามารถทำตามคำสั่งของนายของเธอได้ เพราะแรงขับเคลื่อนของอัลเซยูในตอนนี้ อยู่ในสภาพที่ไม่ได้กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ถ้าเข้าไปใกล้ ๆ นครอีกครั้ง จะต้องถูกดึงเข้าไปในการพังทลายอย่างแน่นอนค่ะ
- ในช่วงที่ความหดหู่เข้าปกคลุมภายในห้องบังคับการนั้น โดรธีก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง "ไม่รู้ทำไมซิกคุง ถึงได้บินไปบินมาอย่างดีอกดีใจแบบนั้นน่ะค่า" เธอพูดออกมาอย่างเริงร่า เพื่อน ๆ ทุกคนมองออกไปข้างนอก
- ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ซิกกำลังบินถลาร่อนลมอย่างร่าเริงนั้น "มังกรโบราณเลกนาร์ต" ก็ทะยานขึ้นมาจากหมู่เมฆที่อยู่ด้านหน้าอัลเซยูและแมวป่า พร้อม ๆ กับร่างของคน 3 คนบนหลังของเขา
เอสเทล "ดะ เดี๋ยวเลกนาร์ต! ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่...... แล้วทำไมแม้แต่คุณพ่อก็มาอยู่ที่นี่ได้ด้วยล่ะห๊ะ!"
คาซิอุส "ทำไมล่ะ ก็เพราะพลังงานออร์บเมนท์ทั่วราชอาณาจักรฟื้นคืนมาแล้ว ก็เลยฝากเรื่องที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของนายพลมอร์แกน แล้วก็ไปขอขี่เขามาแบบนี้น่ะสิ"
- คาซิอุสยิ้มร่าตามสไตล์ อธิบายเหตุผลที่เขามาอยู่ที่นี่ให้ลูกสาวแสนรักฟัง
เอสเทล "ปะ ไปขอขี่เนี่ยนะ......"
โยชัวร์ "ตกใจจริง ๆ นะ......"
- โยชัวร์พูดยิ้ม ๆ กับพ่อของตน ก่อนที่จะหันไปไปทักทายเลกนาร์ต
โยชัวร์ "......ยินดีที่ได้รู้จักครับเลกนาร์ต เรื่องของคุณผมได้ฟังมาจากเอสเทลแล้วล่ะครับ ขอบคุณจริง ๆ ที่มาช่วยพวกผมในตอนที่ตกอยู่ในอันตราย"
มังกรโบราณเลกนาร์ต "หึหึ ไม่ต้องถึงกับขอบคุณหรอก เพราะลมระลอกใหม่พัดมา...... ก็เลยถือโอกาสเอาปีกออกมารับลมแค่นั้นเอง"
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ...... แต่ก็ช่วยได้มากเลยล่ะ เอ๊ะ จะว่าไป...... ถ้าจำไม่ผิดคุณน่ะ มีตัวตนอยู่เพียงแค่เฝ้าดูมนุษย์เท่านั้นนี่นา? มาช่วยพวกชั้นอย่างนี้จะดีเหรอ?"
มังกรโบราณเลกนาร์ต "เรื่องนั้น เป็นเรื่องก่อนที่พวกเจ้าจะค้นพบ [วงแหวน] ก่อนที่จะค้นพบคำตอบ แล้ว ณ ตอนนี้ที่คำตอบได้ถูกพบแล้ว สนธิสัญญาเก่าถูกคลายออก ข้อห้ามก็มลายหายไป เพราะฉะนั้น จึงตอบรับคำขอของ [ปราชญ์ดาบ] แล้วมุ่งหน้ามาแบบนี้ได้"
โยชัวร์ "สนธิสัญญาเก่า......"
เอสเทล "ไม่เข้าใจที่พูดเลยอ่ะค่ะ......"
- คาซิอุสส่ายหน้า พลางถอนใจบอกลูก ๆ ของเขาว่า "วางใจเถอะ พ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน" ว่าแล้วก็หันไปคุยกับเลกนาร์ตเพื่อนซี้
คาซิอุส "จะหัวรั้นหัวแข็งยังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะที่สำคัญก็คือ ไม่ยอมพูดจาให้ฟังเท่าที่ควรนั่นล่ะนะ"
มังกรโบราณเลกนาร์ต "หึหึ ขอเถอะ มังกรเองก็มีพันธะของมังกร แต่เรื่องเดียวที่สามารถบอกได้ก็คือ...... ณ เวลานี้ฟันเฟืองแห่งชะตากรรม เพิ่งจะเริ่มหมุนไปอย่างแท้จริง แล้วฟันเฟืองที่ได้เริ่มหมุนไปครั้งนึงแล้ว ก็จะไม่หยุดหมุนจนกว่าจะถึงที่สุด...... เตรียมใจกันหน่อยล่ะ"
คาซิอุส "งั้นหรือ......"
เอสเทล "ดะ เดี๋ยวก่อนสิ......!"
โยชัวร์ "หมายความว่าจะมีเรื่องคล้าย ๆ กันแบบนี้ เกิดขึ้นที่ลีเบร์ลอีกอย่างงั้นน่ะเหรอ?"
คาซิอุส "ไม่หรอก ชะตากรรมอันนั้น คงจะเกิดขึ้นในที่ที่ต่างกัน และคงจะมีเหล่าผู้คนที่ต่างกันออกไปรับไปทำ ------แต่ไม่ว่าจะยังไงครั้งนี้ พวกลูกทำได้ดีจริง ๆ ตอนนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไร ค่อย ๆ พักผ่อนให้สบาย พร้อม ๆ กับพวกพ้องที่ไม่มีใครจะมาแทนที่ได้ก็แล้วกัน"
เอสเทล "อ๊ะ......"
- เหล่าพวกพ้องบน [อัลเซยู] และ [แมวป่า] ต่างออกมาโบกไม้โบกมือต้อนรับการกลับมาอย่างปลอดภัยของพวกเอสเทลด้วยความดีใจ (หนูทีต้าถึงกับร้องไห้ด้วยล่ะค่ะ ซึ้งจังเลย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนายติ๊งต๊องต้องหยิบกุหลาบขึ้นมาด้วยนี่สิ) ส่วนหนูโดรธีก็ไม่ลืมที่จะชักภาพแห่งความประทับใจนี้ให้อยู่ต่อไปตราบนานเท่านานค่ะ



P.S. ภาพต่าง ๆ ในฉากจบ ถือเป็นการบอกเล่าเรื่องราวไปในตัวว่า หลังจากนี้เหล่าพวกพ้องที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ต่างแยกย้ายกันไปในเส้นทางแห่งชีวิตของตัวเองอย่างไร ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมจะหมุนไปในแบบไหน อนาคตต่อจากนี้ เหตุการณ์จะดำเนินไปเช่นไรและใครจะเป็นผู้แบกรับชะตากรรมนั้นไป ปริศนาต่าง ๆ ที่ค้างคา ยังคงรอการเปิดเผย ขอเชิญเพื่อน ๆ ร่วมติดตามกันต่อใน Sora no kiseki the3rd และ The Legend of Heroes VII ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาได้เลยค่ะ



หมู่บ้านเฮอร์เมล 『ハーメル村』
- "......พี่ครับ ผมกลับมาแล้ว" ณ หมู่บ้านเฮอร์เมลที่ล่มสลายไปแล้ว โยชัวร์กล่าวทักทายแผ่นหินหน้าหลุมศพของคาริน แอสเทรย์พี่สาวของเขา
โยชัวร์ "ส่วนนี่...... เรเวฝากมาให้นะ"
- โยชัวร์วางดาบของเรเวลงที่หน้าหลุมศพ และยืนไว้อาลัยอย่างมีความสุข
เอสเทล "ดีจังเลยนะโยชัวร์ เรเวเอง...... ก็คงจะดีใจอยู่แน่ ๆ เลยล่ะ?"
โยชัวร์ "......อืม......"
- โยชัวร์หันมาตอบเอสเทล
โยชัวร์ "ก็เพราะเรเวกับพี่สนิทกันมาก ๆ...... ผมว่าในอนาคตคงตั้งใจที่จะอยู่ด้วยกันมาก่อน"
เอสเทล "งั้นเองเหรอ......"
- เอสเทลมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย เมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้
เอสเทล "นี่ ให้ชั้นทักทายคุณพี่ด้วยคนได้มั้ย?"
โยชัวร์ "อืม...... ต้องได้อยู่แล้ว"
- โยชัวร์หลีกทางให้เอสเทล
เอสเทล "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณคาริน ชั้นชื่อเอสเทล เอสเทล ไบรท์ค่ะ เป็นทั้งครอบครัวของน้องชายคุณ เป็นทั้งพี่สาว...... แล้วก็เป็น...... พูดได้ไม่เต็มปาก ว่าเป็นคนรักด้วยหรือเปล่านะ?"
- เอสเทลพูดเขิน ๆ ส่วนโยชัวร์ก็หรี่ตามองอย่างเจื่อน ๆ
โยชัวร์ "คาดไม่ถึงเลยนะ...... อย่าไปเติมคำว่าไม่เต็มปากอะไรอย่างนั้นสิ"
เอสเทล "ตะ แต่ว่า...... มันยังไม่ค่อยชิน...... แล้ว...... มันก็ยังเขิน ๆ อยู่อ่ะ......"
โยชัวร์ "จริง ๆ เลยเชียว......"
- โยชัวร์ถอนใจอย่างเซ็ง ๆ แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ พลางพูดขึ้นว่า
โยชัวร์ "เอาเถอะ ตรงส่วนนั้นก็สมกับเป็นเอสเทลล่ะนะ"
เอสเทล "ฮึ่ม...... อะไรกันยะ ทำเป็นสบายใจเฉิบอยู่คนเดียวได้ไง โยชัวร์ต่างหากล่ะ เวลาอยู่ด้วยกัน 2 คนทีไรก็ทำอะไรคาดไม่ถึง......"
- "ขะ ขอโทษค่ะ อยู่ระหว่างกล่าวทักทายแท้ ๆ......" เอสเทลก็นึกขึ้นมาได้ และหันมาทำความเคารพหลุมศพต่ออย่างจริง ๆ จัง ๆ
เอสเทล "คือว่าวันนี้ ชั้นขอตามโยชัวร์กลับบ้านเกิดมาด้วย และก็มากล่าวทักทายคุณพี่ จากนี้ต่อไป...... ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"
- เอสเทลวางช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ลงบนหน้าหลุมศพ พร้อมทั้งไม่ลืมที่จะสงบนิ่งไว้อาลัยให้แก่พี่สาวที่แท้จริงของโยชัวร์
โยชัวร์ "......ขอบคุณนะเอสเทล ผมว่าพี่เอง...... ก็คงจะดีใจอยู่แน่ ๆ เลยล่ะ"
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ...... ถ้าเป็นอย่างนั้นได็ก็ดี แต่ชั้น ทั้งเหมือนเด็ก ทั้งยังพึ่งพาอะไรไม่ได้อีกต่างหาก...... ถ้าโดนคิดว่า [ขาดคุณสมบัติเป็นผู้หญิงของน้องชาย] ล่ะก็ กังวลอยู่ว่าจะทำไงดี......"
โยชัวร์ "ฮะฮะ คิดมากไปแล้ว พี่ซะอีกที่ดูจะเข้ากับเธอได้มากกว่าล่ะมั้ง ไม่ว่าจะนิสัยหรือว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวก็ต่างกันสุดขั้วซะด้วย"
เอสเทล "เอ๊ะเหะเหะ อย่างงั้นเหรอ...... ......แต่เอ๊ะ ที่ว่ามานั่น รู้สึกตะหงิด ๆ ว่าจะไม่ได้ชมชั้นเลยนี่ นิสัยแบบคุณพี่ คงไม่ใช่แบบจิตใจเข้มแข็ง แล้วก็ใจเย็นสินะ?"
โยชัวร์ "อะ อืมม์...... ก็คิดว่าจิตใจเข้มแข็งอยู่หรอก แต่เรื่องที่ใจเย็นนั่นน่ะมัน ......ว่ายังไงดีล่ะ"
เอสเทล "แหง่ะ......"
โยชัวร์ "แต่แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ สดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลา มุ่งตรงไปข้างหน้า และก็ส่องประกายเหมือนกับดวงตะวัน...... คนที่ผมชอบ คือผู้หญิงอย่างนั้นล่ะ"
เอสเทล "!!"
- "จะ จริง ๆ เลยเชียว...... พูดคำน่าอาย ๆ ขนาดนั้นออกมาได้หน้าตาเฉยเลยนะ......" เอสเทลหน้าแดงก่ำ รีบหันหลังเพื่อปิดบังความเขินเอาไว้
โยชัวร์ "อ้าว ไม่ดีใจเหรอ?"
เอสเทล "ดีใจสิยะ! ทะ โทษทีย่ะ!"
โยชัวร์ "แล้วทำไมต้องโกรธด้วย......"
- เอสเทลหันมาทำหน้าตาหน้ากลัวใส่ โยชัวร์ก็ได้แต่เป็นที่รองรับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเอสเทลเหมือนเช่นเคย
เอสเทล "อ๊าพอที ๆ ทักทายก็ทำเสร็จแล้ว ออกเดินทางกันได้แล้วล่ะ! ถ้าเถียงกันต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ คุณพี่ก็คงจะรับไม่ได้"
โยชัวร์ "อ๊ะ...... ได้สิ"
- จู่ ๆ โยชัวร์ก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เอสเทล "? ทำไมเหรอ?"
โยชัวร์ "......นี่ จะดีจริง ๆ เหรอ? ที่มาเป็นเพื่อนผม แล้วออกจากลีเบร์ลไปอย่างนี้......"
- เอสเทลอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงว่าโยชัวร์จะพูดกับเธอแบบนี้
โยชัวร์ "การเดินทางไปทั่วทวีปเพื่อชดใช้บาปกรรมในสมัยที่อยู่ใน [องค์กร] คือปัญหาของผม แล้วก็อยากจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อที่จะไล่ตามเรเวให้ทัน เอาเธอมาเกี่ยวข้องแบบนี้จะดีหรือเปล่า บอกตามตรง...... ผมยังสับสนอยู่เลย"
เอสเทล "จริง ๆ เลยเชียว...... ลืมหัวใจสำคัญไปซะได้นะ"
โยชัวร์ "เอ๊ะ......"
เอสเทล "เลกนาร์ตก็บอกแล้วนี่นา ว่าต่อจากนี้ไป อาจจะมีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ก็ได้ แล้วก็ไม่แน่ว่า [งูกินหาง] อาจจะทำอะไรขึ้นมาอีกน่ะ เพื่อการนั้นชั้นก็อยากจะแข็งแกร่งขึ้นให้เหนือกว่าคุณพ่อ แล้วการออกเดินทางเพื่อเรียนรู้และฝึกฝน มันก็จำเป็นสำหรับชั้นด้วย"
โยชัวร์ "เหนือกว่าคุณพ่อเนี่ย...... เป้าหมายยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกแล้วนะ"
เอสเทล "ยังไงก็ตามเป้าหมายก็ต้องตั้งให้ใหญ่ ๆ เอาไว้ก่อน แล้วก็ยังมีสัญญากับเรเว กับรู้สึกห่วงเร็นด้วยว่าจะเป็นยังไงบ้าง แล้วการที่จะได้เดินทางไปยังแผ่นดินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็น่าสนุกสุด ๆ ไปเลยด้วย...... นอกจากนั้น......"
- เอสเทลเดินเข้าไปกุมมือโยชัวร์
โยชัวร์ "อะ เอสเทล?"
เอสเทล "ปกติแล้ว เหตุผลที่ชั้นจะอยู่ด้วยกันกับโยชัวร์อะไรนั่นน่ะ จำเป็นด้วยเหรอ?"
โยชัวร์ "อ๊ะ......"
- โยชัวร์ส่งรอยยิ้มและสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจไปยังเอสเทล
โยชัวร์ "อืม...... นั่นสินะ ของแบบนั้น...... ไม่เห็นจะจำเป็นเลยเนอะ"
เอสเทล "ใช่มั้ยล่ะ? ว่าโยชัวร์น่ะ ลืมหัวใจสำคัญไปจริง ๆ"
โยชัวร์ "ฮะฮะ...... ท่าจะจริงนะ"
- ทั้ง 2 คนทอดสายตาไปไกลแสนไกล
โยชัวร์ "------ไปกันเถอะ เอสเทล เส้นทางจะนำพาไปสู่ที่ไหน ตอนนี้ยังไม่รู้ก็จริง...... แต่ผมว่าเราจะค่อย ๆ มองเห็นหนทางข้างหน้าเด่นชัดขึ้นอย่างแน่นอน"
เอสเทล "อื้ม......! มาเดินไปทีละก้าว ทีละก้าว ด้วยย่างก้าวของพวกเรากันเถอะนะ!"
★Sora no Kiseki SC - FIN★
อย่าลืมเลือกคำสั่งแรกเพื่อทำการเซฟ Cleared Data เอาไว้สำหรับการเล่นครั้งต่อไปด้วยนะคะ
รายละเอียดดูที่หน้า 空の軌跡SC - System Guide ได้เลยค่ะ

previous: Epilogue Chapter รอยทางแห่งฟากฟ้า - Part 4



Related entries:
Sora no Kiseki SC (空の軌跡SC)


No comments:

Post a Comment